“ก.ล.ต.” เผย “ลีซ อิท” เตรียมขายไอพีโอ 90 ล้านหุ้น เพื่อขยายการให้บริการสินเชื่อ-เป็นเงินทุน เล็งนำเข้าตลาดเอ็มเอไอ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า บริษัท ลีซ อิท จำกัด (มหาชน) ได้ยื่น Filing version แรก เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2556 เนื่องจากจะเสนอขายหุ้นสามัญ (IPO) จำนวน 90 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ จำนวน 84 ล้านหุ้น
สำหรับรายละเอียด จะแบ่งเสนอขายผู้ถือหุ้นของบริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOAจำนวนไม่เกิน 33.60 ล้านหุ้น, เสนอขายประชาชนทั่วไป 46.20 ล้านหุ้น และเสนอขายกรรมการและพนักงานของบริษัท 4.20 ล้านหุ้น รวมทั้งผู้ถือหุ้นเดิมคือ SVOA จะเสนอขายหุ้นเดิมออกมา 6 ล้านหุ้น โดยมี บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีความประสงค์จะนำหุ้นสามัญทั้งหมดเข้าจดทะเบียนเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (MAI) และบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์การใช้เงินเพื่อใช้ขยายการให้บริการสินเชื่อ และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
บริษัท ลีซ อิท จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจให้บริการสินเชื่อกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลาง และขนาดย่อมที่มีข้อจำกัดในการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน โดยแบ่งบริการออกเป็น 4 ประเภท คือ 1.สินเชื่อสัญญาเช่าทางการเงิน หรือลีสซิ่ง 2.สินเชื่อสัญญาเช่าซื้อ 3.สินเชื่อการรับโอนสิทธิเรียกร้อง หรือแฟกตอริ่ง และ 4. สินเชื่อเพื่อการจัดหาหนังสือค้ำประกันซอง, สินเชื่อโครงการ และบริการจัดหาสินค้า
ผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 1/56 สิ้นสุด 31 มีนาคม 56 บริษัทฯ มีรายได้รวม 24.13 ล้านบาท กำไรสุทธิ 7.27 ล้านบาท สินทรัพย์รวม 574.46 ล้านบาท หนี้สินรวม 413.93 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น 160.54 ล้านบาท
ณ วันที่ 14 มิถุนายน 56 บริษัทมีทุนจดทะเบียน 200 ล้านบาท และมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 116 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหุ้นสามัญ 116 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท หลังเสนอขาย IPO ในครั้งนี้แล้ว บริษัทจะมีทุนที่ออก และเรียกชำระแล้ว 200 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 200 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท
ส่วนผู้ถือหุ้นใหญ่สุดของบริษัทฯ ณ วันที่ 14 มิถุนายน 56 คือ บริษัท เอสวีโอเอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVOA ถือหุ้น 99,999,965 หุ้น หรือคิดเป็น 86.21% หลังเสนอขาย IPO แล้วจะถือหุ้น 93,999,965 หุ้น หรือคิดเป็น 47%
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของกำไรสุทธิภายหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย
