โดยปกติเรามักจะได้ยินตามสื่อต่างๆว่า ราคาทองคำกำลังเคลื่อนไหวตามสินทรัพย์ใดบ้าง ซึ่งแน่นอนว่า สินทรัพย์หนึ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยก็คือ เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ เพราะราคาทองคำในตลาดโลกนั้นถูกซื้อขายกันในรูปเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯนั่นเอง แต่ถ้าจะพูดไปเราควรใช้เงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯเทียบกับเงินสกุลใด ควรเป็นบาทต่อดอลลาร์ หรือ ยูโรต่อดอลลาร์ เอาเป็นว่า ขอสรุปเลยแล้วกันว่าสิ่งที่นิยมใช้กันก็คือ ดัชนีดอลลาร์(Dollar Index) ซึ่งก็คือดัชนีที่วัดมูลค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ ในระบบตระกร้าเงินที่เป็นการเฉลี่ยน้ำหนักเงินสกุลต่างๆ 6 สกุลหลัก
คราวนี้ผู้เขียนอยากจะบอกว่า ดัชนีดอลลาร์นี้มีความสัมพันธ์กับราคาทองคำค่อนข้างมาก แต่จะไม่ใช่ทุกช่วงเวลา เนื่องจากราคาทองคำนั้นเคลื่อนไหวตามปัจจัยต่างๆหลายตัว ทำให้บางทีเมื่อมีประเด็นอะไรสำคัญๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ราคาทองคำไม่ได้เคลื่อนไหวตามเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการเคลื่อนไหวตามกันระหว่างของสองสิ่งนั้น จะมีวิธีการทางสถิติในการวัด(ในส่วนนี้ขอข้ามไป หากนักลงทุนท่านใดสนใจสามารถสอบถามเข้ามาได้) โดยผู้เขียนได้ลองหาความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับดัชนีดอลลาร์ พบว่าในช่วง 5 วันที่ผ่านมา พบค่าความสัมพันธ์อยู่ที่ -0.89 นั่นแสดงว่า ราคาทองคำกับดัชนีดอลลาร์ มีความสัมพันธ์กันมากในทางตรงกันข้าม นั่นก็คือวิ่งสวนทางกันนั่นเอง ดังนั้นเราจึงได้ยินบ่อยๆว่า ดอลลาร์แข็งทำให้ทองคำลง หรือ ดอลลาร์อ่อนทองคำจึงขึ้น คราวนี้ลองหาความสัมพันธ์ระดับ 1 เดือนดูพบว่าได้ -0.75 ซึ่งยังคงมากอยู่ และลองหาในระดับ 3 เดือน พบว่าปรับตัวเหลือเพียง -0.19 ซึ่งในช่วงระยะเวลานี้ อาจพอสรุปคร่าวๆได้ว่า ราคาทองคำกับดัชนีดอลลาร์นั้นเริ่มไม่เคลื่อนไหวตามกัน อาจเพราะสาเหตุที่ว่า มีประเด็นอื่นเข้ามาชี้นำราคาทองคำ หรืออาจเป็นเพราะว่า ราคาทองคำกับดัชนีดอลลาร์ในช่วงนั้นเคลื่อนไหวไปด้วยกันเฉพาะระยะเวลาสั้นๆ(รายชั่วโมง หรือ 4 ชั่วโมง เป็นต้น)ภายในวัน
"สิ่งที่เกิดขึ้นอาจสรุปได้ว่า แม้ว่าราคาทองคำจะเคลื่อนไหวตามดัชนีดอลลาร์ แต่ในบางช่วงเวลานั้นกลับพบว่าไม่เป็นไปตามปกติ ดังนั้นการยึดติดเพียงว่าจะดูทิศทางของราคาทองคำให้พิจารณาดัชนีดอลลาร์ อาจถูกเพียงส่วนหนึ่ง เพราะนักลงทุนต้องไม่ลืมว่า ยังมีปัจจัยอีกมากมายที่พร้อมเข้ามาขับเคลื่อนราคาทองคำ สิ่งที่ดูจะเหมาะสมที่สุดก็คือ การพิจารณาปัจจัยพื้นฐานรอบๆด้านให้เหมาะสม พร้อมไปกับการควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนทุกๆครั้ง จะสามารถทำให้นักลงทุนมีผลตอบแทนที่เป็นบวก ซึ่งในบางครั้งอาจไม่มากมายนัก แต่จะเป็นผลตอบแทนที่เป็นบวกอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ยังฝึกการวิเคราะห์สถานการณ์ได้ด้วยตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องรอการวิเคราะห์จากคนอื่น"