เผยสอบโกงภาษีมูลค่าเพิ่มจากการส่งออกเท็จยังไม่คืบหน้า เหตุอธิบดีไม่ได้ดำเนินการ ล่าสุด เสนอให้ปลัดคลังโยกย้ายสรรพากรพื้นที่เกิดเหตุเพื่อไม่ให้มีอุปสรรคในสอบของดีเอสไอ พร้อมสั่งกรมศุลกากรสอบเพิ่มยอดการส่งออกที่ผู้ประกอบการแจ้งขอคืนแวตคีย์เข้าไปในยอดการส่งออกรวม หวั่นกระทบยอด 5 หมื่นล้าน
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดด้านการจัดเก็บรายได้ กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการตรวจสอบกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออกเท็จว่า ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร หลังจากเคยมีคำสั่งไปทางกรมสรรพากรแล้วให้ แต่นายสาธิต รังคศิริ อธิบดีกรมสรรพากร ไม่ได้ดำเนินการใดๆ โดยได้สั่งการให้กรมสรรพากรรายงานความคืบหน้าการติดตามการตรวจสอบกรณีดังกล่าวมาทุกเดือนด้วย ขณะนี้จึงได้เสนอต่อ นายอารีพงศ์ ภูชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ให้มีคำสั่งโยกย้ายสรรพากรพื้นที่ 22 ที่เป็นพื้นที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะมีปัญหาอุปสรรคต่อการให้ปากคำของเจ้าหน้าที่ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
“เราได้สั่งการให้กรมสรรพากรตรวจสอบรายละเอียดว่า ที่ยื่นขอคืนแวตจากการส่งออกนั้นได้คืนหมดทั้งจำนวนแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ให้ระงับไปก่อน แล้วไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่าที่คืนให้ไปแล้วจะสามารถเรียกภาษีคืนได้เท่าไหร่ รวมถึงได้สั่งการให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ยอดการส่งออกที่ผู้ประกอบการแจ้งขอคืนแวตนั้นได้คีย์เข้าไปในยอดการส่งออกรวมหรือไม่ เพราะถ้าคีย์เข้าไปแล้ว ยอดที่ผ่านมาก็ต้องเป็นเท็จไปด้วย อย่างมูลค่าแวตที่ขอคืนไป 3 พันล้านบาท จะเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็จะกระทบต่อยอดการส่งออกรวมไปด้วย” นายรังสรรค์กล่าว
สำหรับการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระทรวง นายรังสรรค์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ 2 กรมจัดเก็บคือ กรมศุลกากร และกรมสรรพากร จึงต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาดูภาพรวมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากระบบที่มีปัญหา หรือช่องโหว่อะไร เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือไม่ เจ้าหน้าได้เข้าไปมีส่วนพัวพันด้วยหรือไม่ แล้วจึงมาดูว่าปัญหาอยู่ตรงไหน โดยมีอำนาจตรวจสอบถึงระดับอธิบดี เพราะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการจะต้องสรุปเรื่องทั้งหมดภายใน 60 วัน
“กระทรวงการคลังได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกระบวนการโกงแวตจากการส่งออก ซึ่งเริ่มต้นพบว่า มีเพียง 13 ราย จึงได้ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบเพิ่มได้อีก 19 ราย รวมเป็น 32 ราย มูลค่าแวตที่ขอคืนไปประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะที่กระทรวงเองก็ต้องทำงานควบคู่กันไปด้วย” นายรังสรรค์กล่าว
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ รองปลัดด้านการจัดเก็บรายได้ กระทรวงการคลัง เปิดเผยถึงการตรวจสอบกระบวนการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จากการส่งออกเท็จว่า ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร หลังจากเคยมีคำสั่งไปทางกรมสรรพากรแล้วให้ แต่นายสาธิต รังคศิริ อธิบดีกรมสรรพากร ไม่ได้ดำเนินการใดๆ โดยได้สั่งการให้กรมสรรพากรรายงานความคืบหน้าการติดตามการตรวจสอบกรณีดังกล่าวมาทุกเดือนด้วย ขณะนี้จึงได้เสนอต่อ นายอารีพงศ์ ภูชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลัง ให้มีคำสั่งโยกย้ายสรรพากรพื้นที่ 22 ที่เป็นพื้นที่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว เพราะมีปัญหาอุปสรรคต่อการให้ปากคำของเจ้าหน้าที่ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
“เราได้สั่งการให้กรมสรรพากรตรวจสอบรายละเอียดว่า ที่ยื่นขอคืนแวตจากการส่งออกนั้นได้คืนหมดทั้งจำนวนแล้วหรือยัง ถ้ายังก็ให้ระงับไปก่อน แล้วไปตรวจสอบเพิ่มเติมว่าที่คืนให้ไปแล้วจะสามารถเรียกภาษีคืนได้เท่าไหร่ รวมถึงได้สั่งการให้กรมศุลกากรตรวจสอบเพิ่มเติมว่า ยอดการส่งออกที่ผู้ประกอบการแจ้งขอคืนแวตนั้นได้คีย์เข้าไปในยอดการส่งออกรวมหรือไม่ เพราะถ้าคีย์เข้าไปแล้ว ยอดที่ผ่านมาก็ต้องเป็นเท็จไปด้วย อย่างมูลค่าแวตที่ขอคืนไป 3 พันล้านบาท จะเป็นมูลค่าการส่งออกถึง 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็จะกระทบต่อยอดการส่งออกรวมไปด้วย” นายรังสรรค์กล่าว
สำหรับการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกระทรวง นายรังสรรค์ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวเนื่องกับ 2 กรมจัดเก็บคือ กรมศุลกากร และกรมสรรพากร จึงต้องตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงขึ้นมาดูภาพรวมว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นมาจากระบบที่มีปัญหา หรือช่องโหว่อะไร เจ้าหน้าที่ได้ปฏิบัติตามระเบียบหรือไม่ เจ้าหน้าได้เข้าไปมีส่วนพัวพันด้วยหรือไม่ แล้วจึงมาดูว่าปัญหาอยู่ตรงไหน โดยมีอำนาจตรวจสอบถึงระดับอธิบดี เพราะประธานกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง โดยคณะกรรมการจะต้องสรุปเรื่องทั้งหมดภายใน 60 วัน
“กระทรวงการคลังได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับกระบวนการโกงแวตจากการส่งออก ซึ่งเริ่มต้นพบว่า มีเพียง 13 ราย จึงได้ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบเพิ่มได้อีก 19 ราย รวมเป็น 32 ราย มูลค่าแวตที่ขอคืนไปประมาณ 3 พันล้านบาท ซึ่งขณะนี้ดีเอสไอก็อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง ขณะที่กระทรวงเองก็ต้องทำงานควบคู่กันไปด้วย” นายรังสรรค์กล่าว