DRT กางแผนสร้างธุรกิจในระยะยาว ดัน 2 ยุทธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งด้านการผลิต และการตลาด เล็งตั้งโรงงานผลิตสินค้ากระจายตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ และต่างประเทศ รองรับความต้องการของลูกค้า อสังหาฯ รับเหมา แก้ปัญหาแรงงาน ลดต้นทุนด้านลอจิสติกส์ เล็งรักษาสมดุลรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์หลังคา 60% และกลุ่มผนัง 40% คาดตามแผนทำเป้ารายได้เฉลี่ยเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อเนื่องทุกปี
นายสาธิต สุดบรรทัด รองกรรมการผู้จัดการสายการขายและการตลาด บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์ ไม้ลามิเนต แผ่นบอร์ด ยิปซัม และบริการหลังการขาย ภายใต้แบรนด์ ‘ตราเพชร’ กล่าวถึงภาพรวมการดำเนินงานของผลิตภัณฑ์ตราเพชรในระยะยาวว่า ต่อจากนี้ DRT จะมุ่งสร้างความเข้มแข็ง โดยกำหนดยุทธศาสตร์การเติบโตทั้งด้านการผลิต และการทำตลาดทั้ง 2 ส่วนไปพร้อมๆ กัน
โดยส่วนการผลิตสินค้านั้น บริษัทฯ มีแผนลงทุนตั้งโรงงานกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ เพื่อบริหารการผลิตสินค้าให้มีประสิทธิภาพรองรับกับความต้องการสินค้าในแต่ละภูมิภาค โดยจะศึกษาถึงความต้องการของตลาดก่อนตัดสินใจลงทุนบนที่ดินของบริษัทฯ ซึ่งกระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาค ตั้งแต่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ รวมถึงศึกษาความเป็นไปได้ในการตั้งโรงงานในต่างประเทศอีกด้วย
ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวถือเป็นการสร้างความมั่นคงทางการผลิตสินค้าเพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของตลาด และผู้บริโภค ขณะเดียวกัน ยังเป็นการสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้านการตลาดที่มุ่งเพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ตราเพชร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้านการทำตลาดผ่านช่องทางขายร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย ห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ และลูกค้ากลุ่มโครงการ รวมถึงผลักดันรายได้จากการส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย
“กลยุทธ์การสร้างความหลากหลายของสินค้าตราเพชร เป็นกุญแจแห่งความสำเร็จต่อการสร้างการเติบโตในระยะยาวให้แก่ DRT ซึ่งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของตราเพชรต่อจากนี้ จะมุ่งตอบสนองลูกค้าที่ต้องการสินค้าวัสดุก่อสร้างที่นำไปใช้เพื่อลดระยะเวลาการก่อสร้าง และต้นทุนการก่อสร้าง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง เพื่อให้ได้รับความสะดวกสบายในการติดตั้งได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการรองรับการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงยังส่งผลดีต่อการขยายตลาดส่งออกสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย” นายสาธิตกล่าว
นอกจากนี้ DRT ได้ปรับสัดส่วนรายได้จากยอดขายให้มีความสมดุล และเหมาะสมต่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว โดยสัดส่วนยอดขายจากผลิตภัณฑ์สินค้ากลุ่มหลังคาจะอยู่ที่ 60% และกลุ่มผลิตภัณฑ์ผนังจะอยู่ที่ 40% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนยอดขาย 70 ต่อ 30 ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการรุกเข้าสู่ธุรกิจอิฐมวลเบาภายใต้แบรนด์ตราเพชร ด้วยกำลังการผลิตรวมทั้ง 2 โรงงาน กว่า 5.2 ล้านตารางเมตรต่อปี ถือเป็นเบอร์ 2 ของตลาด ที่สามารถเริ่มผลิตสินค้าเชิงพาณิชย์ในเดือนมิถุนายนนี้ และได้รับการตอบรับที่ดีจากช่องทางการจัดจำหน่าย และผู้บริโภค
“เราคาดว่า จากแนวทางการดำเนินยุทธศาสตร์สร้างการเติบโตในระยะยาวครั้งนี้จะช่วยผลักดันรายได้ของ DRT ให้สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10% ต่อปี และจะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักลงทุนและผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ”นายสาธิตกล่าว