บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ TUF เป้ายอดขายในปีนี้ที่ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่ากำไรขั้นต้นในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 16-17% จากปัญหาวัตถุดิบขาดตลาด แต่ว่างแผนเตรียมนำเข้าเพิ่มจากต่างประเทศอีก 20% พร้อมลุยขายกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาในทวีปแอฟริกาเพิ่ม แย้มสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ สนใจลงทุนขอซื้อหุ้น
นายวาย ยัท ปาโก้ ลี Financial Controller บมจ.ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ หรือ TUF เปิดเผยว่า บริษัทคงเป้ายอดขายในปีนี้ที่ 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากมองว่าสถานการณ์ธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะดีขึ้น จากปัจจุบันบริษัทประสบปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบคือ ปลาทูน่าที่ใช้ผลิตแปรรูปเป็นอาหารกระป๋อง ซึ่งแต่เดิมนั้นราคาปลาทูน่าที่ใช้ผลิต บริษัทฯ รับซื้อในราคาประมาณ 1,900 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่ขณะนี้ได้ปรับราคาขึ้นมาที่ 2,300 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นราคาที่ผันผวนมาก จากราคาของปลาทูน่าที่มีต้นทุนแพงขึ้น โดยบริษัทฯ อาจจะต้องปรับเพิ่มราคาสินค้าในบางผลิตภัณฑ์ขึ้น และเพิ่มมูลค่าสินค้าในผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อรักษาส่วนแบ่งตลาดการจัดจำหน่ายอาหารทะเลแปรรูปไว้ และดึงระยะของการแสวงหาวัตถุดิบป้อนโรงงานผลิตไม่ให้สินค้าขาดตลาด
ทั้งนี้ ในส่วนของกุ้งแช่แข็งที่บรรจุพลาสติกขนาด 60 ตัว/กิโลกรัม จากเดิมที่บริษัทฯ รับซื้อมาในราคา 110-120 บาท/กิโลกรัม ได้ปรับตัวสูงขึ้นถึง 200 บาท/กิโลกรัม ซึ่งสาเหตุมาจากโรคระบาดในกุ้ง โดยหากเทียบกับวัตถุดิบปลาทูน่าจะมีราคาต่อหน่วยต้นทุนเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 50-60% ซึ่งราคาปลาทูน่านั้นจะผันผวนตามฤดูกาล และสภาพอากาศ ซึ่งแต่เดิมนั้นบริษัทใช้วัตถุดิบจากในประเทศเป็นหลัก แต่วางแผนที่จะนำเข้ากุ้งเพิ่มเติมจากประเทศอินเดีย และเอกวาดอร์ อีกประมาณ 20-30% โดยจะปรับราคาตาม สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นในปีนี้จะต่ำกว่าปีก่อน ซึ่งอยู่ที่ 16-17% ถ้าราคาวัตถุดิบมีเสถียรภาพมากขึ้น มาร์จิ้นก็คาดว่าจะดีขึ้นตามไปด้วย โดยตั้งเป้าไว้ว่าไตรมาส 2-3 จะปรับตัวดีขึ้น และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 สถานการณ์อุตสาหกรรมประมงจะกลับเข้าสู่ภาวะปกติ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าการผลิตในระยะ 5 ปีที่ใว้ที่ 1 แสนตัน ซึ่งในปีที่แล้วบริษัทสามารถทำยอดขายได้ถึง 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ
ขณะเดียวกัน ก็มีประเทศสหรัฐอเมริกา อังกฤษ ฮ่องกง สิงคโปร์ สนใจที่จะซื้อหุ้นของ TUF เพิ่มมากขึ้น ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้เตรียมที่จะลงทุนขยายตลาดเพิ่มไปยังประเทศที่กำลังพัฒนา เช่น ทวีปแอฟริกา
