ECF เพิ่มเครื่องจักรขยายการผลิต-หวังลุยตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าโตต่อเนื่องทั้งปี 15% อัดงบก้อนแรก 65 ล้าน ซื้อเครื่องจักรเพิ่มฐานการผลิต คาดโตต่อเนื่องทั้งปี 15% ยันบาทแข็ง-ค่าแรง 300 กระทบนำเข้า-ส่งออกเพียงระยะสั้น เตรียมเสนอที่ประชุมบอร์ดจ่ายปันผลผู้ถือหุ้น
นายอารักษ์ สุขสวัสดิ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค (ECF) กล่าวว่า หลังจากที่บริษัทได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้นำเงินที่ได้จากการระดมทุนซื้อขายหุ้นมาลงทุนซื้อเครื่องจักรชุดใหม่ ซึ่งเป็นระบบ Semi automatic โดยบริษัทตั้งงบลงทุนในการพัฒนากระบวนการผลิตในระยะ 2-3 ปี ไว้ที่ประมาณ 300 ล้านบาท โดยในระยะแรก จำนวนเงินประมาณ 65 ล้านบาท เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตเฟอร์นิเจอร์ เพิ่มขึ้นอีก 15% ในปีแรก และ 30% ในปีถัดไป เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของตลาดทั้งใน และต่างประเทศ โดยจะนำเข้าเครื่องจักรจากประเทศจีน และญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะสามารถสั่งซื้อเข้ามาติดตั้งได้ภายในไตรมาสที่ 3/56 และจะเริ่มผลิตได้ในไตรมาสที่ 4/56 ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตขึ้น 15% หรือประมาณ 1,250 ล้านบาท
นอกเหนือจากนี้ บริษัทฯ ยังลงนามสัญญาซื้อขายสินค้ากับเมืองดูไบ โดยเฉลี่ยทั้งปีที่ 120 ล้านบาท และยังได้เตรียมเดินทางไปขยายตลาดไปยังประเทศใหม่ๆ ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และประเทศเกาหลีใต้ ในช่วงเดือนมิถุนายน เพื่อนำเสนอข้อมูลสินค้าของบริษัท ส่วนตลาดในประเทศก็ยังมียอดขายที่เติบโตในระดับที่น่าพอใจ และหลังจากเดินเครื่องจักรในสายพานการผลิตใหม่แล้วในอนาคตบริษัทฯ ได้ตั้งเป้าสัดส่วนการขายในประเทศและต่างประเทศที่ 50:50 ตามลำดับ
ทั้งนี้ จากกรณีที่ต้นทุนค่าจ้างแรงงาน 300 บาทต่อวันที่เพิ่มขึ้น รวมถึงเงินบาทที่แข็งค่านั้นไม่กระทบต่อบริษัทฯ มากนัก เนื่องจากราคาวัตถุดิบ เช่น ไม้ และอุปกรณ์ลดลง และบริษัทได้ซื้อประกันราคาในอัตราแลกเปลี่ยนไว้ที่ 29-30 บาท/1 ดอลลาร์สหรัฐ ในส่วนของการปรับราคาสินค้านั้น จะยังไม่มีการปรับขึ้นเพราะได้ปรับไปแล้ว 15-20% ในไตรมาส 3/55 ที่ผ่านมา และการสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ในช่วงที่ค่าเงินบาทแข็งถือได้ว่าเป็นช่วงที่ดีในการลดต้นทุนรายจ่ายบริษัทลงได้เพราะสามารถซื้อได้ในราคาที่ถูกลง โดยหักลบจากยอดส่งออกสินค้าต่างประเทศที่ได้รับผลกระทบจากเงินบาทแข็งค่า 1-2% เท่านั้น ในส่วนของแรงงานบุคคลนั้น จากประสิทธิภาพของเครื่องจักรที่สั่งซื้อเข้ามาใหม่ จากเดิมที่มีพนักงานประมาณ 800 คน ก็จะปรับลดลงเหลือ 500 คน
ขณะเดียวกัน ในวันที่ 9 พ.ค.นี้ บริษัทฯ จะมีการประชุมคณะกรรมการผู้ถือหุ้นบริษัทเพื่อพิจารณาอนุมัติเงินปันผล โดยบริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิ ซึ่งจากผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม 1,080 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 54 ที่มีรายได้รวม 995 ล้านบาท โดยมีกำไรสุทธิ 35.64 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปี 54 ที่มีกำไร 30.23 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทมีกำไรสะสมถึงสิ้นปี 55 ที่จำนวน 44 ล้านบาท
โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสัดส่วนยอดขายจาก 4 ผลิตภัณฑ์ คือ เฟอร์นิเจอร์ไม้ปาร์ติเคิลบอร์ด 70.12% เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา 18.75% เฟอร์นิเจอร์ที่จำหน่ายผ่านโชว์รูม 4.87% กระดาษปิดผิว 4.64% ไม้ยางพาราแปรรูปอบแห้ง 0.19% (ตัวเลขเมื่อสิ้นปี 2555)
คลิกเพื่อชมคลิป :