TVD รุกธุรกิจโฮมชอปปิ้งในประเทศ หลังมูลค่าการตลาดพุ่งแตะระดับ 8,000-10,000 ล้านบาท มั่นใจยอดขายทั้งปีเติบโต 20% ขณะที่อัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิสูงกว่าเท่าตัว จากการขายสินค้าที่มีมาร์จิ้นสูง รับอานิสงส์ค่าเงินบาทแข็ง และไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียวในปีก่อน ดันอัตราผลตอบแทนเติบโตอีกเท่าตัว
นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้า และบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย (Multichannel Marketing) เปิดเผยว่า ในปีนี้บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับตลาดโฮมชอปปิ้งในประเทศไทย เนื่องจากขณะนี้มีผู้เล่นรายใหญ่จากต่างประเทศได้ร่วมทุนกับผู้ประกอบการไทยเข้ามาดำเนินธุรกิจโฮมชอปปิ้งมากขึ้น ทำให้ภาพรวมตลาดมีความคึกคักอย่างมาก โดยคาดว่าในปีนี้จะมีมูลค่าตลาดประมาณ 8,000-10,000 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2555 ที่มีมูลค่าการตลาด 5,000 ล้านบาท
สำหรับการเติบโตอย่างมากของมูลค่าตลาดนั้น เชื่อว่าจะส่งผลให้ยอดขายของบริษัทฯ ได้รับผลดีตามไปด้วย เนื่องจากผู้บริโภคจะหันมาสนใจ และให้ความสำคัญกับการสั่งซื้อสินค้าเพิ่มมากขึ้น บริษัทฯ มั่นใจว่า ยอดขายในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ระดับ 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,222 ล้านบาท แม้บริษัทฯ เป็นรายแรกที่ทำธุรกิจนี้ แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น โดยมีการเตรียมตัวมานานแล้ว เนื่องจากเชื่อว่าตลาดโฮมชอปปิ้งในประเทศไทยยังเติบโตได้อีกมาก เพราะมูลค่าตลาดยังต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ ขณะเดียวกัน ในปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีช่องทางการตลาดครบวงจร เช่น สื่อโทรทัศน์ ที่มีทั้งฟรีทีวี เคเบิลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เคเบิลท้องถิ่น ทีวีดาวเทียม โทรศัพท์ ออนไลน์ และร้านค้าปลีก นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทฯ ยังตั้งเป้าเพิ่มร้านค้าปลีก TV Showcase อีก 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มี 70 แห่ง
อย่างไรก็ตาม จากการที่บริษัทฯ อยู่ในธุรกิจนี้มากว่า 14 ปี ทำให้มีข้อมูลของผู้บริโภคทุกกลุ่ม ดังนั้น ในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะเพิ่มอัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้เติบโตเท่าตัวจากปีก่อนที่อยู่ในระดับ 2.23% โดยปัจจัยผลักดันมาจากการเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) สูง และบริษัทฯ ยังได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เนื่องจากมีการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศสูงถึง 60-65% นอกจากนี้ ในปี 2555 บริษัทฯ มีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ทั้งค่าคดีความ ค่าใช้จ่ายในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และค่าใช้จ่ายในการดำเนินการที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์เพลิงไหม้คลังสินค้า ซึ่งจะไม่มีรายการเหล่านี้ในปีนี้
ทั้งนี้ แม้ว่าปีที่แล้วบริษัทจะประสบปัญหาเหตุการณ์เพลิงไหม้ แต่บริษัทฯ ก็ยังทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย ในปีนี้บริษัทฯ จะสามารถบันทึกรายได้กรณีธุรกิจหยุดชะงักจากบริษัทประกัน ประกอบกับปีนี้ บริษัทฯ ได้ปรับกลยุทธ์การขาย และค่าใช้จ่ายที่ลดลง รวมถึงการจัดส่วนผสมของสินค้าใหม่ โดยไปเน้นที่สินค้าที่มีมาร์จิ้นมากเป็นหลัก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราผลตอบแทนของกำไรสุทธิของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น