“ขุนคลัง” มองภาพ ศก.จีนชะลอตัว แค่ต้องการลดความร้อนแรง พร้อมคาดปัจจัยภายนอกไม่กระทบ ศก.ไทยมากนัก เชื่อการที่เฟดจะหยุด QE3 เร็วกว่ากำหนด ไม่กระทบระบบเศรษฐกิจไทย
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกรณีที่เศรษฐกิจของจีนชะลอการเติบโตลงจากไตรมาสที่ 4/2555 จีดีพีขยายตัว 7.9% เหลือ 7.7% ในไตรมาสที่ 1/2556 มองว่าไม่ใช่สถานการณ์ที่น่ากังวล เนื่องจากมองว่าส่วนหนึ่งเป็นความตั้งใจของรัฐบาลจีนเองที่ต้องการดูแลภาพรวมของเศรษฐกิจภายในประเทศไม่ให้มีความร้อนแรงเกินไป ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติ
อย่างไรก็ตาม อัตราการเติบโตของจีดีพีในระดับ 7% ก็ถือว่าเป็นอัตราที่สูงซึ่งไทยในฐานะที่เป็นประเทศคู่ค้าของจีนก็คงไม่ต้องกังวลว่าเรื่องนี้จะกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย
สำหรับสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรป และสหรัฐฯ ที่มีความเคลื่อนไหวในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตในไซปรัส หรือแนวโน้มที่ธนาคารกลางของสหรัฐฯ อาจจะยกเลิกการใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ก่อนกำหนด เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องติดตาม แต่มองว่าในระยะสั้นนี้จะไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของไทยมากนัก
ส่วนการส่งออกที่อาจกังวลว่าจะได้รับผลกระทบ ตอนนี้มีการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด คาดว่าหากอัตราแลกเปลี่ยนของเรายังอยู่ในระดับที่ดีก็พอจะประคับประคองได้ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็คือ กระทรวงพาณิชย์ ก็พยายามที่จะทำให้การส่งออกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ เติบโตจากปีก่อนในระดับที่ 8-9%
“สถานการณ์ต่างๆ ในโลก ก็เป็นเรื่องที่น่าติดตาม แต่ก็ต้องดูว่าเรื่องไหนส่งผลโดยตรงต่อประเทศไทย เรื่องไหนส่งผลกระทบในระยะสั้นก็ต้องมีมาตรการป้องกันก่อน ซึ่งส่วนใหญ่ตอนนี้ที่ดูว่ามีผลกระทบก็คือ เรื่องของการส่งออกซึ่งเราก็เป็นคู่ค้าของหลายประเทศ”
นายกิตติรัตน์ กล่าวเสริมว่า นอกจากเรื่องปัจจัยภายนอกที่อาจจะมีผลต่อเศรษฐกิจรัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการดูแลปัจจัยต่างๆ ที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจในประเทศ เช่น การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน และการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคของประชาชน ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นได้ว่าเศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพ