ทีโอเอ แจงผลประกอบการปี 55 ยอดขายรวม 15,500 ล้านบาท โตจากปีก่อนหน้า20% เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 56 ตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดสีปกป้องพื้นผิวอันดับ 1 ในภูมิภาคอาเซียน ตั้งเป้าขาย 18,600 ล้านบาทโตเพิ่มอีก 20% พร้อมเดินหน้าดันเป้าขายแตะ 20,000 ล้านบาท ใน 2-3 ปีจากนี้
นายจตุภัทร์ ตั้งคารวคุณ ในตำแหน่งล่าสุด รองประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ทีโอเอ กล่าวว่า แผนงานปี 56-72 มุ่งเน้นพัฒนาความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดสีทาอาคาร ควบคู่การพัฒนารากฐานรองรับการเติบโตในตลาด non-decorative และตลาดต่างประเทศ เจาะกลุ่มประเทศสมาชิก AEC โดยตั้งเป้าก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดผู้ใช้สีปกป้องพื้นผิวในภูมิภาคอาเซียนด้วยนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ล้ำหน้าและหลากหลาย พร้อมบริการก่อน-หลังการขาย
โดยบริษัทมีเป้าหมายการเติบโตของยอดขายเฉลี่ย 16% ต่อปี และเป้าหมายยอดขายรวม 2 หมื่นล้านบาท ภายในปี 58 ซึ่งที่ผ่านมา ทีโอเอมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี โดยในปี 55 มีการเติบโตสูงสุด 20% เนื่องจากปัจจัยบวกที่เอื้อต่อการเติบโต คือ ภาวะซ่อมแซมบ้านจากอุทกภัยครั้งใหญ่ปีก่อน ภาวะการขยายตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในรอบปีที่ผ่านมา รวมถึงการขยายตัวของตลาดพรีเมี่ยมทำให้สัดส่วนรายได้ของทีโอเอเติบโตขึ้นอย่างมาก
“ล่าสุด ทีโอเอได้แต่งตั้ง นายพงษ์เชิด จามีกรกุล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพ และประสิทธิผล รวมทั้งเป็นการเตรียมความพร้อมรับมือการรุกตลาดใหม่ๆ ใน AEC ด้วย”
ด้านนายพงษ์เชิด จามีกรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่คนใหม่ บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจในปี 55 ว่า “ตลาดสีทาอาคารปี 55 มีมูลค่ารวมอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท เติบโต 12% เมื่อเทียบกับก่อนหน้า โดยแบ่งเป็นตลาด Premium 26% Ultra Premium 23% ตลาด Medium31% และตลาด Eco 20% ทั้งนี้ ทีโอเอมีส่วนแบ่งตลาด Premium 50% Ultra Premium 23% ตลาด Medium 62% และตลาด Eco 26% รวมทั้งตลาดสีน้ำทาอาคารของทีโอเอมีส่วนแบ่งที่ 47% คิดเป็นยอดขายในปี 55 อยู่ที่ 9,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20%
ทั้งนี้ รวมยอดขายของทีโอเอทุกพอร์ตอยู่ที่ 15,500 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตอยู่ที่ 20% สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมา ทีโอเอได้มุ่งเน้นนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งตรงกับความต้องการ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะสีเพื่อการตกแต่ง (Decorative) ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุด และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และการขยายการเพิ่มเครื่องผสมสีระบบคอมพิวเตอร์ TOA Color World ไปในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนรวมมากกว่า 2,200 เครื่อง
รวมทั้งด้านการตลาดและการขาย ได้ผนวกความเชี่ยวชาญ และความเป็นมืออาชีพ ตอกย้ำแบรนด์ทีโอเอในฐานะผู้นำนวัตกรรม และกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อครองใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายในระยะยาว พร้อมทั้งยังมีการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี ส่วนด้านช่องทางจัดจำหน่าย ได้ขยายช่องทางจัดจำหน่ายเพิ่มเติมเพื่อเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น ทั้งนี้ในปี 2013 ทีโอเอตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 18,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 20%
ทั้งนี้ เป้าหมายการเติบโตในปี 56 ด้านอื่นๆ ได้แก่ ตั้งเป้าหมายให้ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้น 1% ทุกปี เพื่อก้าวเป็นอันดับ 1 ในตลาดสีงานไม้ และผู้นำในเคมีภัณฑ์และสีอุตสาหกรรม ตลอดจนเป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดสีน้ำในอินโดนีเซีย เวียดนาม และมาเลเซีย โดยมีส่วนแบ่งตลาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มเป็น 14% จาก 12% ในปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์ธุรกิจที่จะนำไปสู่เป้าหมายดังกล่าว คือ พัฒนาความได้เปรียบใหม่ๆ ในการแข่งขัน และนำความได้เปรียบในการแข่งขันที่มีอยู่แล้ว เช่น แบรนด์ที่เป็นที่รู้จัก เครือข่ายร้านค้าที่มีจำนวนมาก และครอบคลุม ความรู้ความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในตลาด non-decorative ให้มากขึ้น โดยจะเน้นตลาดสีงานไม้ เคมีภัณฑ์ สีอุตสาหกรรม และตลาดต่างประเทศ
“ทีโอเอยังให้ความสำคัญในเรื่องการให้ข้อมูลที่ถูกต้องแก่ลูกค้า เช่น องค์ประกอบของสี เทคนิคการผสม และการทาที่เหมาะกับแต่ละพื้นผิว ตลอดจนการออกแบบสี หรือการนำแนวคิด Mix & Match มาใช้เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ตรงจุด เทรนด์สีเพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของลูกค้าปัจจุบัน เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพื่อให้ลูกค้ามีความเข้าใจ ความเชื่อมั่น และไว้วางใจในผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมของทีโอเอมากขึ้น” กรรมการผู้จัดการใหญ่กล่าว
นายมนัส เพ็ชรบัวศักดิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส สายงานการผลิต กล่าวว่า ในส่วนของกลยุทธ์ด้านการปฏิบัติการ และผลิตสินค้า ในปี 56 จะมุ่งเน้นการผลิตสินค้าให้ง่าย และจัดส่งสินค้าเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากยิ่งขึ้น โดยการผลิตสีทาอาคาร จะผลิตที่ทีโอเอ บางนา-ตราด กม.23 เป็นหลัก เพราะเป็นโรงงานผลิตสินค้าที่ทันสมัยที่สุดใน อาเซียน ควบคุมการผลิตด้วยระบบคอมพิวเตอร์ทุกขั้นตอน และเป็นการผลิตสินค้าในระบบปิด ทำให้สามารถผลิตสินค้าได้เร็วขึ้นกว่าเดิมกว่า 50% ใช้ไฟฟ้าน้อยลง 20% และลดน้ำเสียจากกระบวนการผลิตมากกว่า 50% ซึ่งกระบวนการผลิตดังกล่าวเรียกว่าเป็น Green Production ที่สมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ ยังเป็นกระบวนการผลิตที่ใช้แรงงานลดลงถึง 50% อีกด้วย
รวมทั้งแผนงานปรับปรุงระบบการ Forecast order การวางแผนการผลิต การผลิตสินค้า และการ Stock สินค้าด้วยระบบ S&OP โดยใช้ Software computer ช่วยในการวางแผน & ควบคุม เพื่อให้การวางแผนการขาย วางแผนการผลิต และการเก็บ Stock สินค้าเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มความรวดเร็วในการจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าได้ดีขึ้นโดยมีเป้าหมายการส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าภายใน 36 ชม.
“ในส่วนของพัฒนาคุณภาพสินค้า โดยเฉพาะสินค้า Non Decorative ในกลุ่มสีงานไม้ เคมีก่อสร้างและสีอุตสาหกรรม จะพัฒนาเพื่อให้ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยใช้ทีมงาน R&D และความร่วมมือของ Raw Material Suppliers รวมถึงการจัดหา Know how ใหม่ๆ จากต่างประเทศเข้ามาใช้ เช่นเดียวกับการพัฒนาคุณภาพสินค้าสีทาอาคาร ที่มุ่งตอบสนองต่อความต้องการใหม่ๆ ของลูกค้าทั้งใน และต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันเทรนด์ลูกค้าได้ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ส่งผลต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม (Green product) มากขึ้นเป็นลำดับ”
นายมนัส กล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการลงทุนขยายกำลังการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใน AEC เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายที่วางไว้ “ปัจจุบันทีโอเอมีโรงงานผลิตสีในประเทศเวียดนาม ลาว มาเลเซีย และมีแผนงานที่จะขยายการลงทุนสร้างโรงงานในกลุ่มประเทศอาเซียนมากขึ้น เริ่มจากแผนงานการสร้างโรงงานผลิตสีในประเทศพม่าให้แล้วเสร็จภายในไตรมาส 2 ปี 56 จากนั้นก็จะมองหาช่องทางขยายฐานการผลิตอื่นๆ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจสีในตลาด AEC เพื่อสร้างแบรนด์ TOA ให้เป็น Regional Brand ในอนาคตตามเป้าหมายที่วางไว้