การเคหะแห่งชาติ โชว์ผลงานบ้านอนุรักษ์พลังงานสุดเจ๋ง เปิดบ้านต้นแบบประหยัดพลังงานเต็มรูปแบบ ยึดแนวทางพึ่งพาธรรมชาติ ใส่ใจสังคม พร้อมเตรียมต่อยอดการพัฒนาที่อยู่อาศัย อนุรักษ์พลังงาน และพลังงานทดแทน เผยวิจัยต่อยอด “อยู่สุขสบาย” และ “ลดการใช้ไฟฟ้าให้เหลือศูนย์” เปิดแผนปี 56 ศึกษาการใช้แผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาอาคารในโครงการทุกภูมิภาค
นายบุญจิตร โล่ห์วงศ์วัฒน ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนาการก่อสร้าง การเคหะแห่งชาติ กล่าวว่า จากกระแสภาวะโลกร้อนที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้เกิดความตื่นตัวในการสร้างบ้านประหยัดพลังงานเพิ่มมากขึ้น และมุ่งสร้างองค์ความรู้ใหม่ที่จะช่วยแก้ปัญหาการอยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้ปานกลาง ถึงค่อนข้างน้อย ในอาคารที่อนุรักษ์พลังงานตามแนวทางธรรมชาติที่มีค่าก่อสร้างไม่แตกต่างจากอาคารทั่วไป รวมถึงสามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาวะอากาศได้ ประกอบกับการเคหะแห่งชาติมีความมุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัย โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และสังคม
โดยได้ร่วมกับศูนย์วิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยีสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้าง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศึกษาวิจัยบ้านประหยัดพลังงานต้นทุนต่ำ เพื่อการอยู่อาศัยในภาวะโลกร้อน เพื่อศึกษาและประเมินผลแบบลักษณะบ้านพักอาศัย 2 ชั้น ให้มีความสอดคล้องกับสภาพความเป็นอยู่ในประเทศไทย โดยการศึกษาถึงวัสดุที่เหมาะสมที่นำมาใช้ร่วมในการก่อสร้าง และวัสดุทางเลือกที่ประหยัดพลังงาน โดยเป็นการพึ่งพาธรรมชาติให้อยู่อาศัยได้ในสภาวะน่าสบายโดยไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ และผลจากการวิจัยนำมาซึ่งการก่อสร้างบ้านต้นแบบประหยัดพลังงาน 2 ชั้น บนพื้นที่สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ ตัวบ้านมีลักษณะเป็นอาคาร 2 ชั้น ใต้ถุนโล่ง สูง 2.80 เมตร เนื่องจากคำนึงถึงการอยู่อาศัยในยามเกิดอุทกภัย ชั้นบนของอาคารแบ่งเป็น ห้องนอน 2 ห้อง ห้องพักผ่อน หรือห้องทำงาน ห้องครัว และห้องน้ำ รวมพื้นที่ใช้สอยประมาณ 120 ตร.ม.
นายวีรยุทธณ์ พิทักษ์ธนางกูร ผู้อำนวยการกองวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีการก่อสร้าง การเคหะแห่งชาติ ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการ กล่าวว่า ปัจจุบันบ้านต้นแบบประหยัดพลังงาน 2 ชั้น ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จ 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยกระบวนการก่อสร้างที่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก ประกอบด้วย ปัจจัยด้านกายภาพ เช่น การวางผังบ้าน และการเลือกใช้วัสดุ ปัจจัยด้านเศรษฐศาสตร์ คำนึงถึงความคุ้มทุน และการเลือกใช้ที่ดินให้เหมาะสมกับรูปแบบบ้าน และปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม คำนึงถึงการจัดการขยะ และสิ่งปฏิกูลอย่างถูกวิธี
ทั้งนี้ บ้านต้นแบบประหยัดพลังงาน 2 ชั้น มีจุดเด่นทางด้านเทคนิคการทำความเย็น โดยวิธีธรรมชาติ 3 ประการ ได้แก่ มวลสาร จะใช้มวลสารเบา เช่น ยิปซัมบอร์ด ผนังโครงเคร่าที่มีคุณสมบัติพิเศษในการระบายความร้อนกับห้องนอน เพื่อถ่ายเทความร้อนและดูดความเย็นเข้าห้องในเวลากลางคืน และใช้วัสดุมวลสารหนัก เช่น คอนกรีตเสริมเหล็กกับห้องที่ใช้ประโยชน์ในเวลากลางวัน ได้แก่ ห้องทำงาน ห้องนั่งเล่น เพื่อกันความร้อนที่จะเข้ามาในห้อง ผู้อยู่อาศัยจึงสามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศ ลมธรรมชาติ ด้วยการสร้างหลังคา 2 ชั้น เพื่อให้ลมไหลผ่านได้มาก และมีช่องเปิดเพื่อรับลมตามจุดต่างๆ ให้เหมาะสม เช่น ห้องทำงาน จะมีช่องเปิดน้อยสุด เพราะอากาศด้านนอกจะร้อนกว่าด้านใน ส่วนห้องนอนจะมีช่องเปิดมากกว่าเพื่อให้ลมพัดผ่านได้มาก และระบบการระเหยของน้ำ ทำการติดตั้งปั๊มน้ำไว้บนหลังคา ปล่อยน้ำให้ไหลลงมาตามโซ่ที่ได้ติดตั้งไว้ ทำให้เกิดไอความชื้น หรือไอน้ำ ช่วยให้อากาศบริเวณบ้านเย็นขึ้นเพื่อรักษาอุณหภูมิภายในบ้านที่เหมาะสมให้อยู่ในระดับประมาณ 27 องศาเซลเซียส
ภายหลังการก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้มีผู้สนใจขอแบบไปก่อสร้างแล้วมากกว่า 100 ราย รวมถึงได้เข้ามาศึกษาดูงานในพื้นที่จริง เช่น นักศึกษาปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักศึกษาปริญญาโท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น และต่อจากนี้ การเคหะแห่งชาติจะดำเนินการศึกษาวิจัยเพิ่มเติมด้านการอยู่อาศัยเพื่อหาผลลัพธ์ว่า สามารถอยู่ได้แบบสุขสบายอย่างแท้จริงหรือไม่ ควบคู่กับการศึกษาวิจัยลดการใช้พลังงานไฟฟ้าให้เป็นศูนย์ (Net Zero Energy) ด้วยการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคาเพื่อผลิตพลังงานไฟฟ้าทดแทนใช้ภายในบ้าน โดยจะเริ่มดำเนินการวิจัยราวปลายเดือนมกราคม 2556
ส่วนแผนการดำเนินงานในปี 2556 การเคหะแห่งชาติเตรียมจะดำเนินการศึกษาวิจัยการใช้ประโยชน์จากการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคา (Solar Roof) ในโครงการของการเคหะแห่งชาติทั่วประเทศ ครอบคลุม 5 ภูมิภาค ได้แก่ ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ รวมถึงกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อศึกษาหาพื้นที่ที่สามารถผลิตพลังงานทดแทนได้สูง และสร้างประโยชน์อย่างคุ้มค่าทั้งในด้านประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงพลังงานที่สนับสนุนการติดตั้งแผงเซลล์แสงอาทิตย์บนหลังคามากกว่าการดำเนินการในลักษณะ Solar Farm โดยทั้งสองหน่วยงานจะศึกษาแนวทางการร่วมมือระหว่างกันต่อไป