ดีเอ็นเอ 2002 พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) 21 ธันวาคมนี้ ด้วยมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,216 ล้านบาท เป็นบริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ลำดับที่ 9 ใน mai ปีนี้
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 (DNA) จะเข้าจดทะเบียนและเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ mai ในวันที่ 21 ธันวาคม 2555 โดย DNA ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ ประเภทภาพยนตร์ เพลงที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี รวมถึงสิ่งพิมพ์ต่างๆ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสาร และพ็อกเกตบุ๊ก ผ่านร้านค้าปลีกกลุ่มบริษัท และร้านค้าร่วมบริการในโมเดิร์นเทรดมากกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ
โดย DNA มีทุนชำระแล้ว 160 ล้านบาท มีมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 480 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุน 160 ล้านหุ้น โดยบริษัทเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 12-14 ธันวาคม 2555 ในราคาหุ้นละ 1.90 บาท คิดเป็นมูลค่าระดมทุนรวม 304 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ โดยมีบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และบริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่าย
นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 เปิดเผยว่า “รู้สึกเป็นเกียรติ และมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทได้นำหุ้นสามัญของบริษัทเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ ความแข็งแกร่งด้านเงินทุนให้แก่บริษัท และช่วยเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัททั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดให้มากขึ้นในอนาคต”
หลัง IPO ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ DNA 3 รายแรก ได้แก่ กลุ่มคุณสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา และครอบครัว ถือหุ้น 38.06% คุณศิริศักดิ์ ปิยทัสสีกุล ถือหุ้น 23.44% และ คุณอารียา ยอดทองดี ถือหุ้น 2.03% ราคา IPO ของ DNA ในราคาหุ้นละ 1.90 บาท ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน มีอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 26.30 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิต่อหุ้น 4 ไตรมาสที่ผ่านมา (ไตรมาสที่ 4 ของปี 2554-ไตรมาสที่ 3 ของปี 2555) เท่ากับ 46.24 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมดของบริษัทหลังจากการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (Fully diluted) ซึ่งเท่ากับ 640 ล้านหุ้น คิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.07 บาท ทั้งนี้ บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะของบริษัทหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล เงินสำรองตามกฎหมาย และเงินสำรองต่างๆ ทั้งหมด