ASTVผู้จัดการรายวัน - อิตัลไทย รีแบรนดิ้งครั้งใหญ่ในรอบ 58 ปี ภายใต้สโลแกน “Racing to New Heights” เปลี่ยนโฉมองค์กรแบบครอบครัวขึ้นสู่สากล ยกระดับขีดความสามารถรับ AEC ตั้งเป้าภายใน 2 ปี พอร์ตธุรกิจเตะ 1.5 หมื่นล้านบาท
การเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ธุรกิจทุกแขนงต้องปรับตัวเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะมาจากกลุ่มประเทศสมาชิก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือใหญ่ รวมไปถึงกลุ่มบริษัท อิตัลไทย จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจมากว่า 58 ปี นับจากที่ ดร.ชัยยุทธ กรรณสูต ร่วมกับ MR.Giorgio Berlingieri N.A ร่วมก่อตั้งอิตัลไทย ตั้งแต่ปี 2498 ซึ่งการดำเนินธุรกิจของกลุ่มอิตัลไทยจะเป็นรูปแบบธุรกิจครอบครัว
จนกระทั่ง นายยุทธชัย จรณะจิตต์ หลานชาย (ดร. ชัยยุทธ กรรณสูต) เข้ามาช่วยธุรกิจของครอบครัว ด้วยความที่ช่วยธุรกิจของครอบครัวมากว่า 10 ปี ทำให้รู้ถึงปัญหาของการดำเนินงาน ความไม่คล่องตัวของการบริหารแบบครอบครัว จนกระทั่งได้รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร จึงต้องการยกระดับให้บริษัทมีความเป็นสากล มีการดำเนินงานคล่องตัว จึงเป็นที่มาของการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ ภายใต้สโลแกน “Racing to New Heights” หมายถึงการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันขององค์กรอิตัลไทยให้เทียบเท่ากับบริษัทชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย ด้วยการปรับแนวทางดำเนินงาน และวัฒนธรรมองค์กรใหม่ให้สดใส และทันสมัยมากขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และรวดเร็วในการบริหารงานมากยิ่งขึ้น
“การรีแบรนดิ้งครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสที่จะปรับทั้งภาพลักษณ์ และโครงสร้างองค์กร เพื่อให้องค์กร และธุรกิจที่ทำอยู่เติบโตเข้ากับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อครั้งก่อตั้งบริษัทมาก ประกอบกับที่ผ่านมา เมื่อพูดถึงอิตัลไทยแล้ว โดยมากจะนึกถึงแต่ผลงานในภาคธุรกิจก่อสร้างเป็นหลัก ทั้งที่จริงแล้ว บริษัทฯ ดำเนินสายงานธุรกิจอื่นที่มีความเชี่ยวชาญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะทำให้เกิดความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจมากยิ่งขึ้น และอิตัลไทยจะเป็นผู้เล่นคนสำคัญในภูมิภาคเอเชียนับจากนี้ไป” นายยุทธชัยกล่าว
สำหรับธุรกิจที่อยู่ในความดูแลของอิตัลไทย แบ่งเป็น 3 ประเภท ดังนี้ 1.สายธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล และบริการด้านวิศวกรรม ที่มุ่งผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และเน้นการให้บริการหลังการขาย ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท อิตัลไทยอุตสาหกรรม จำกัด จำหน่ายเครื่องจักรกลอุตสาหกรรม เครื่องขุด เจาะ โดยมียอดขายไม่น้อยกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีสาขา 10 แห่งทั่วประเทศ และในปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเพิ่มขึ้นอีกไม่น้อยกว่า 20% จากการปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค และโครงการป้องกันน้ำท่วมของรัฐบาล ล่าสุด บริษัทได้ไปเปิดสาขาที่เวียงจันทน์ ประเทศลาว เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจจากกลุ่มเหมืองแร่ งานก่อสร้างสาธารณูปโภคที่มีอยู่จำนวนมาก
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท อิตัลไทยวิศวกรรม ทำหน้าที่ให้บริการก่อสร้างแบบครบวงจรในด้านพลังงานทดแทน เช่น ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Farm), พลังงานลม (Wind Farm), โรงงานไฟฟ้าพลังความร้อน รวมถึงการก่อสร้างโรงงานขนาดใหญ่ อาคารตึกสูง ปัจจุบัน มีรายได้ประมาณ 1,700-1,800 ล้านบาท โดยปีหน้าคาดว่าจะมีรายได้ไม่น้อยกว่า 3,500-3,600 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบัน มีงานในมือแล้ว 2,600 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถประมูลงานก่อสร้างได้อีก 3 โครงการ จากการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) ได้แก่ ส่วนขยายของโรงงานไฟฟ้า NED จำนวน 8 เมกะวัตต์ มูลค่าประมาณ 900 ล้านบาท, โรงไฟฟ้า EGGO สุพรรณบุรี-นครปฐม มูลค่า 3,000 ล้านบาท และโรงไฟฟ้าไทยโซล่า เอ็นเนอร์ยี่ ขนาด 8 เมกะวัตต์ มูลค่า 4,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเข้าไปรับงานก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมที่ประเทศลาว อีก 2-3 โครงการ
2.สายธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และอสังหาริมทรัพย์ จะอยู่ภายใต้การดูแลของออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป และอมารี เอ็ซเทท ซึ่งปัจจุบันมีโรงแรมภายใต้การบริหารของบริษัท 32 แห่ง ทั่วเอเชีย ซึ่งในปีนี้และปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 3 แห่ง ได้แก่ สมุย ฮ่องกง โคลัมโบ ประเทศศรีลังกา และคาดว่าภายในปี 2560 บริษัทจะมีห้องพักไม่น้อยกว่า 10,000 ห้อง
3.สายธุรกิจร้านอาหาร และธุรกิจค้าปลีก เช่น ร้านชา TWG Tea Salon & Boutique และเป็นตัวแทนผู้นำเข้าน้ำแร่เปอร์ริเอ้, น้ำแร่วิทเทล และแก้วไวน์รีเดล โดยปัจจุบัน สัดส่วนรายได้จากทั้ง 3 กลุ่ม แบ่งออกเป็น 1.สายธุรกิจอุตสาหกรรมเครื่องจักรกล และบริการด้านวิศวกรรม 50% 2.สายธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และอสังหาริมทรัพย์ 40% และ 3.สายธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจค้าปลีก 10% โดยมีมูลค่าการดำเนินธุรกิจรวม 1 หมื่นล้านบาท มีพนักงานที่อยู่ภายใต้การดูแลกว่า 5,000 คน ใน 6 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย
“ผมมั่นใจต่อจากนี้ไปภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัท อิตัลไทย จะขยายตัวได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภายในปี พ.ศ.2558 คาดว่าพอร์ตธุรกิจของอิตัลไทยจะมีมูลค่าประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท และน่าจะมีการจ้างงานทุกสายธุรกิจของเราเพิ่มมากขึ้นอีกหลายร้อยคน นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าธุรกิจที่อยู่ภายใต้การดูแลแม้จะค่อนข้างหลากหลาย แต่ทุกสายธุรกิจโดยแต่ละผลิตภัณฑ์จะมีความเชื่อมโยง และส่งเสริมซึ่งกันและกัน ทำให้ธุรกิจรอบด้านมีความมั่นคง และมีอำนาจในการต่อรองทางธุรกิจมากขึ้น เช่น ธุรกิจอุตสาหกรรมบริการ และอสังหาริมทรัพย์ กับธุรกิจร้านอาหารและธุรกิจค้าปลีก” นายยุทธชัยกล่าว