xs
xsm
sm
md
lg

JMT เชื่อนักลงทุนสนหุ้น IPO

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เชื่อนักลงทุนให้ความสนใจจองซื้อหุ้น IPO เหตุบริษัทมีกำไรเติบโตสูงปีละ 50% จ่ายปันผลไม่น้อยกว่า 50% แถมกระแสไอพีโอหนุน เตรียมขายหุ้นปลาย ต.ค.หรือต้น พ.ย.นี้ คาดเข้าเทรดปลาย พ.ย. หวังนำเงินระดมทุนซื้อหนี้บริหารเพิ่ม ตั้งเป้าปี 57 อยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาทจากสิ้นปีนี้ 2.5 หมื่นล้านบาท

นายปิยะ พงษ์อัชฌา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ซึ่งประกอบธุรกิจให้บริการติดตามเร่งรัดหนี้ ธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพ และบริการสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ เปิดเผยว่า ส่วนตัวเชื่อว่าหุ้นของบริษัทที่จะเสนอขายแก่นักลงทุนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก เนื่องจากบริษัทมีรายได้เติบโตสูงปีละไม่ต่ำกว่า 20% และมีกำไรเติบโตเฉลี่ย 50% ต่อปี จากเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (กรอสมาร์จิ้น) ที่สูงกว่า 50% และให้ผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น 40% และมีการจ่ายเงินปันผลไม่น้อยกว่า 50% รวมถึงแนวโน้มธุรกิจของบริษัทมีการเติบโตต่อเนื่อง จากที่สถาบันการเงินต่างๆ มีการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ทำให้มีโอกาสที่จะเกิดหนี้เสียมากขึ้น ประกอบกับในช่วงนี้นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนหุ้นไอพีโอจำนวนมาก ซึ่งเห็นจากหุ้นที่เข้ามาก่อนหน้าราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงทุกตัว

“หุ้นของบริษัทนั้นถือว่าเป็นหุ้นโกรสสต๊อก และดีวิเดนสต๊อก จึงเชื่อว่านักลงทุนจะให้ความสนใจในการเข้ามาลงทุนจำนวนมาก ประกอบกับภาวะตลาดเอื้อ ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีการจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไปแล้ว และในช่วงครึ่งปีหลังจะมีการจ่ายปันผลอีกประมาณเดือน เม.ย.ปีหน้า”

สำหรับในวันที่ 4 หรือ 5 พฤศจิกายนนี้ บริษัทจะมีการนำเสนอข้อมูล (โรดโชว์) แก่นักลงทุนบุคคลในกรุงเทพฯ ในการเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 75 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท แบ่งเป็นเสนอขายแก่ผู้ถือหุ้นเดิมของบริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท โดยถือหุ้นอยู่ในสัดส่วน 75% จำนวน 45 ล้านหุ้น และอีก 30 ล้านหุ้นเสนอขายแก่นักลงทุนบุคคล ซึ่งในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้ บริษัทจะมีการเซ็นแต่งตั้งผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย คาดเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในปลายเดือนพฤศจิกายนนี้

สำหรับเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ บริษัทจะนำไปลงทุนซื้อหนี้เพื่อบริหารเพิ่ม โดยในปีนี้มีแผนที่จะซื้ออีกจำนวน 5,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 200-300 ล้านบาท หรือ 5% ของมูลค่าหนี้ที่ซื้อ ที่เหลือใช้ในการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์มือสอง และชำระคืนหนี้

นายปิยะกล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 390 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวม 324 ล้านบาท และคาดว่ากำไรสุทธิจะเติบโต 40-50% จากปี 2554 ที่มี 67 ล้านบาท โดยช่วง 6 เดือนแรกปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 186 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 51 ล้านบาท โดยสาเหตุปีนี้ที่บริษัทมีกำไรเติบโตที่สูง จากที่บริษัทมีการซื้อหนี้มาบริหารเพิ่มขึ้น และธุรกิจของบริษัทนั้นมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูง ถึง 50% จากที่ใช้เงินลงทุนไม่มาก โดยปัจจุบัน มีหนี้ที่บริหารอยู่จำนวน 2 หมื่นล้านบาท และมีหนี้ที่รับบริหารจากสถาบันการเงินจำนวน 1 หมื่นล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้ นอกจากนี้ บริษัทมียอดการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์รวม 70 ล้านบาท

ทั้งนี้ บริษัทมีแผนที่จะซื้อหนี้บริหารปีนี้อีก 5 ,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้สิ้นปีนี้มียอดการลงทุนซื้อหนี้มาบริหารอยู่ที่ 2.5 หมื่นล้านบาท และคาดว่าภายในปี 2556 คาดว่าจะอยู่ที่ 3.5 หมื่นล้านบาท และในปี 2557 จะอยู่ที่ 5 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดการรับบริหารหนี้ให้แก่สถาบันการเงินจะรักษาที่ประมาณ 1 หมื่นล้านบาท โดยยอดในส่วนการรับบริหารหนี้ให้แก่สถาบันการเงินนั้นไม่เติบโตเพราะให้ผลอตอบแทนที่ต่ำกว่าการลงทุนซื้อหนี้มาบริหารเอง ส่วนการปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์นั้นบริษัทจะมีการขยายไปต่างจังหวัดมากขึ้น โดยไปตามสาขาของบริษัทแม่

“บริษัทวางเป้าหมายที่จะมีกำไรสุทธิจากนี้ไปเติบโตประมาณ 40-50% ต่อปี จากที่บริษัทมีแผนที่จะมีการลงทุนซื้อหนี้เข้ามาบริหารมากขึ้น ซึ่งการที่บริษัทเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นก็จะทำให้บริษัทได้รับความน่าเชื่อถือจากสถาบันการเงินที่จะมีการนำ NPL ออกมาขายแก่บริษัทมากขึ้น จากปัจจุบันที่บริษัทรับซื้อหนี้จากแบงก์ และสถาบันกาเงินที่ไม่ใช่แบงก์จำนวน 5-6 แห่งเท่านั้น” นายปิยะกล่าว


กำลังโหลดความคิดเห็น