ผู้ถือหุ้น DEMCO โหวตลงมติโอนกิจการส่วนที่เกี่ยวกับการขายให้บริษัทลูก “เด็มโก้ เพาเวอร์” อย่างพร้อมเพรียง หวังเห็นอนาคตหลังปรับโครงสร้างธุรกิจเติบโตแข็งแกร่ง “พงษ์ศักดิ์” ระบุ พื้นฐานธุรกิจยังขยายตัวต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้าประมูลงานไม่ขาดเพื่อผลักดันรายได้ปีนี้โตแตะ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัว 60-80% จากปีก่อน ส่วนประเด็นการขายหุ้นที่ซื้อคืนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ทำเพื่อบริหารกระแสเงินสดให้มีความแข็งแกร่ง และไม่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจ
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO เปิดเผยถึง ผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้โอนกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับงานขาย ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็ก ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน การจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบจำหน่าย ระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย และการจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง ให้แก่ บริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 99.99%
พร้อมกันนี้ ผู้ถือหุ้นยังอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 363,538,157 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่าย จำนวน 363,538,157 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท และมีมติให้แก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 4 ของบริษัทให้สอดคล้องกับการลดทุนจดทะเบียน ซึ่งเดิมทุนจดทะเบียนในส่วนนี้บริษัทขอมติผู้ถือหุ้นเตรียมไว้สำหรับลงทุนในโครงการพลังงานลม แต่ขณะนี้บริษัทได้เตรียมกระแสเงินสดเพียงพอแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องคงส่วนของทุนดังกล่าวไว้อีก
“ในการโอนกิจการครั้งนี้ เด็มโก้เพาเวอร์ จะเพิ่มทุนจาก 1 ล้านบาท เป็น 130 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะจองซื้อหุ้นทั้งหมด โดยใช้เงินทุนภายในกิจการของบริษัท ในส่วนของเด็มโก้ เพาเวอร์ ก็จะใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นกลับมาซื้อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการผลิตจากบริษัท ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดในภาพรวมของบริษัท อีกทั้งจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออำนาจควบคุมและโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ DEMCO เพราะเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานไปยังบริษัทย่อย เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ และศักยภาพในการแข่งขันของเด็มโก้ พาวเวอร์ ในอนาคตอีกด้วย”
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 32,479,900 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 5.91 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เพื่อจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ขอให้ผู้ถือหุ้นรวมถึงนักลงทุนอย่ากังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนนั้นเพื่อเป็นการบริหารทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น โดยที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“DEMCO ได้ซื้อหุ้นคืนในช่วงเดือนกันายน 2553-มีนาคม 2554 และมีข้อกำหนดจะต้องขายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี ฉะนั้น กำหนดระยะเวลาในการขายหุ้นที่ซื้อคืนครั้งนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2555 ถึง 1 มีนาคม 2557 คิดเป็นระยะเวลาราวๆ 17 เดือน ในการดำเนินการจะเป็นลักษณะค่อยๆ ทยอยขายหุ้นวันละ 2-3 แสนหุ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อราคาในกระดาน และในส่วนของคณะผู้บริหารของ DEMCO เองก็มีความตั้งใจอยู่แล้วว่าไม่ต้องการให้เกิดความสั่นสะเทือนต่อราคาหุ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น ขอให้นักลงทุนสบายใจได้ และไม่ต้องกังวลใจต่อประเด็นดังกล่าว ที่สำคัญคือ ปัจจัยพื้นฐานของ DEMCO ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น และนักลงทุนอย่างสูงสุดต่อไป” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ ( Backlog ) อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท และยังเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าทั้งปีผลการดำเนินงานน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ คือ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 60-80% จากปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท
นายพงษ์ศักดิ์ ศิริคุปต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เด็มโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ DEMCO เปิดเผยถึง ผลการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2555 เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2555 ว่า ที่ประชุมมีมติอนุมัติให้โอนกิจการในส่วนที่เกี่ยวกับงานขาย ประกอบด้วย การผลิตและจำหน่ายเสาโครงเหล็ก ซึ่งได้รับการส่งเสริมการลงทุน การจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับระบบจำหน่าย ระบบสายส่งและสถานีไฟฟ้าย่อย และการจำหน่ายวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้าง ให้แก่ บริษัท เด็มโก้ เพาเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่บริษัทถือหุ้น 99.99%
พร้อมกันนี้ ผู้ถือหุ้นยังอนุมัติให้ลดทุนจดทะเบียนของบริษัท จำนวน 363,538,157 บาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้จำหน่าย จำนวน 363,538,157 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 1 บาท และมีมติให้แก้ไขหนังสือบริคณห์สนธิข้อ 4 ของบริษัทให้สอดคล้องกับการลดทุนจดทะเบียน ซึ่งเดิมทุนจดทะเบียนในส่วนนี้บริษัทขอมติผู้ถือหุ้นเตรียมไว้สำหรับลงทุนในโครงการพลังงานลม แต่ขณะนี้บริษัทได้เตรียมกระแสเงินสดเพียงพอแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องคงส่วนของทุนดังกล่าวไว้อีก
“ในการโอนกิจการครั้งนี้ เด็มโก้เพาเวอร์ จะเพิ่มทุนจาก 1 ล้านบาท เป็น 130 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะจองซื้อหุ้นทั้งหมด โดยใช้เงินทุนภายในกิจการของบริษัท ในส่วนของเด็มโก้ เพาเวอร์ ก็จะใช้เงินทุนที่เพิ่มขึ้นกลับมาซื้อทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการผลิตจากบริษัท ทำให้ไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดในภาพรวมของบริษัท อีกทั้งจะไม่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่ออำนาจควบคุมและโครงสร้างผู้ถือหุ้นของ DEMCO เพราะเป็นการปรับโครงสร้างธุรกิจของกลุ่มบริษัทให้ชัดเจน โดยแยกธุรกิจที่ไม่เกี่ยวข้องกับพลังงานไปยังบริษัทย่อย เพื่อเพิ่มความคล่องตัว และประสิทธิภาพในการบริหารจัดการของลักษณะธุรกิจที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจ และศักยภาพในการแข่งขันของเด็มโก้ พาวเวอร์ ในอนาคตอีกด้วย”
ส่วนกรณีที่คณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนจำนวน 32,479,900 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 5.91 ของหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด เพื่อจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ขอให้ผู้ถือหุ้นรวมถึงนักลงทุนอย่ากังวลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว เนื่องจากวัตถุประสงค์ของการจำหน่ายหุ้นที่ซื้อคืนนั้นเพื่อเป็นการบริหารทางการเงินได้ดียิ่งขึ้น โดยที่ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด
“DEMCO ได้ซื้อหุ้นคืนในช่วงเดือนกันายน 2553-มีนาคม 2554 และมีข้อกำหนดจะต้องขายหุ้นที่ซื้อคืนภายใน 3 ปี ฉะนั้น กำหนดระยะเวลาในการขายหุ้นที่ซื้อคืนครั้งนี้ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 11 ตุลาคม 2555 ถึง 1 มีนาคม 2557 คิดเป็นระยะเวลาราวๆ 17 เดือน ในการดำเนินการจะเป็นลักษณะค่อยๆ ทยอยขายหุ้นวันละ 2-3 แสนหุ้น เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อราคาในกระดาน และในส่วนของคณะผู้บริหารของ DEMCO เองก็มีความตั้งใจอยู่แล้วว่าไม่ต้องการให้เกิดความสั่นสะเทือนต่อราคาหุ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้น ขอให้นักลงทุนสบายใจได้ และไม่ต้องกังวลใจต่อประเด็นดังกล่าว ที่สำคัญคือ ปัจจัยพื้นฐานของ DEMCO ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด อีกทั้งยังเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้น และนักลงทุนอย่างสูงสุดต่อไป” นายพงษ์ศักดิ์กล่าว
ปัจจุบัน บริษัทมีงานในมือ ( Backlog ) อยู่ที่ประมาณ 6,000 ล้านบาท และยังเข้าประมูลงานอย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าทั้งปีผลการดำเนินงานน่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ คือ 6,000 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขยายตัวประมาณ 60-80% จากปีก่อนมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,300 ล้านบาท