บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไรสุทธิงวด 6 เดือน ปี 2555 รวม 344,415 ล้านบาท ลดลง 13.58% จากงวดเดียวกันปี 2554 ซึ่งมีกำไรรวม 398,541 ล้านบาท สาเหตุจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่มียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 13.42% เป็น 5,063,994 ล้านบาท โดยหมวดธุรกิจที่มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ หมวดธนาคาร หมวดอาหารและเครื่องดื่ม หมวดพาณิชย์ หมวดพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และหมวดการแพทย์
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จำนวน 447 บริษัท หรือ 93.71% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 477 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2555 แล้ว โดยยอดขายไตรมาส 2 อยู่ที่ 2,550,143 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 1 ที่ผ่านมา และจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้ยอดขายงวด 6 เดือนเพิ่มขึ้นจาก 4,464,654 ล้านบาท เป็น 5,063,994 ล้านบาท เติบโต 13.42%
ในขณะที่กำไรสุทธิไตรมาส 2 อยู่ที่ 130,400 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาส 1 ซึ่งเป็นผลมาจากต้นทุนขายและดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังมีขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 7,346 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 1 ที่มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 12,710 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิงวด 6 เดือนปี 2555 ลดลง 13.58% จากงวดเดียวกันของปี 2554 ด้านอัตรากำไรขั้นต้นงวด 6 เดือนอยู่ที่ 17.00% จาก 19.64% งวดเดียวกันปีที่แล้ว
“กำไรสุทธิ และความสามารถในการทำกำไรขั้นต้นของบริษัทจดทะเบียนงวด 6 เดือนแรกของบริษัทจดทะเบียนใน SET ลดลงตามกำไรของบริษัทกลุ่ม SET50 ในธุรกิจพลังงาน โลหะ และสินค้าเกษตรที่ลดลงมาก และบางบริษัทมีผลดำเนินงานขาดทุน สาเหตุหลักมาจากต้นทุนขายที่เพิ่มขึ้นเพราะราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในช่วงไตรมาส 2 ลดลงอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการขาดทุนสต๊อกน้ำมัน รวมทั้งรับรู้ผลขาดทุนจากการตีราคามูลค่าสินค้าคงเหลือให้เป็นไปตามราคาตลาด ซึ่งรายการดังกล่าวเป็นรายการที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำ
โดยบริษัทที่ขาดทุนส่วนใหญ่เป็นบริษัทในหมวดพลังงาน การเกษตร และเหล็ก ซึ่งเกี่ยวข้องกับราคาสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง รวมถึงธุรกิจประกันภัยที่ยังมีการบันทึกค่าสินไหมทดแทนจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปี 2554 อย่างไรก็ตาม หากไม่รวมผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียน โดยรวมในไตรมาส 2 และงวด 6 เดือนแรกจะเติบโตจากปีที่แล้ว 32.01% และ 8.80% ตามลำดับ” นายจรัมพรกล่าว
ทั้งนี้ บริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) และ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC)