ไทยออยล์ ไตรมาส 2 ขาดทุน 6,903 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,245 ล้านบาท ผลจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลง ทำให้ขาดทุนขั้นต้นจากการผลิต และขาดทุน EBITDA 4,366 ล้านบาท รวมทั้งทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ที่พุ่งสูงตามภาวะ และขาดทุนค่าเงินที่ผันผวน
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัทย่อยแจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 6,903 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3,245 ล้านบาท ผลจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลง ทำให้ขาดทุนขั้นต้นจากการผลิต และขาดทุน EBITDA 4,366 ล้านบาท รวมทั้งทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ที่พุ่งสูงตามภาวะ และขาดทุนค่าเงิน
โดยจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวล่าช้า รวมถึงปัญหานิวเคลียร์อิหร่านคลี่คลาย ทำให้ตลาดคลายความกังวลด้านอุปทานน้ำมันดิบ ทำให้ราคาน้ำมัน และผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเครือไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 112,387 ล้านบาท
แม้ว่าจะมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มก่อนรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน 7.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่จากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลงจาก ณ สิ้นไตรมาสก่อนถึง 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน จนทำให้เครือไทยออยล์มีขาดทุนขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม 3.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีขาดทุนใน EBITDA 4,366 ล้านบาท โดยเครือไทยออยล์มีต้นทุนทางการเงิน 617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในปลายไตรมาสแรกปี 55 TOP ได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินบาท 10,000 ล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง 0.98 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จาก ณ สิ้นไตรมาสก่อน ทำให้เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 578 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 34 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ดังนั้น เครือไทยออยล์มีขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 55 จำนวน 6,903 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิ 3.38 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของงวด 6 เดือนแรกของปี 2555 เครือไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 229,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,465 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจกลั่นน้ำมัน อะโรเมติกส์ และน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม 7.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม จากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 2 ปี 55 ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลงเหลือ 4.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ EBITDA ลดลงเหลือ 4,284 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 323 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 0.16 บาทต่อหุ้น
นายวีรศักดิ์ โฆสิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP และบริษัทย่อยแจ้งผลงานไตรมาส 2 ปีนี้ว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 6,903 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อน มีกำไรสุทธิ 3,245 ล้านบาท ผลจากขาดทุนสต๊อกน้ำมันจากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลง ทำให้ขาดทุนขั้นต้นจากการผลิต และขาดทุน EBITDA 4,366 ล้านบาท รวมทั้งทั้งดอกเบี้ยเงินกู้ที่พุ่งสูงตามภาวะ และขาดทุนค่าเงิน
โดยจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอันเนื่องมาจากปัญหาหนี้ยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังฟื้นตัวล่าช้า รวมถึงปัญหานิวเคลียร์อิหร่านคลี่คลาย ทำให้ตลาดคลายความกังวลด้านอุปทานน้ำมันดิบ ทำให้ราคาน้ำมัน และผลิตภัณฑ์อะโรเมติกส์อ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเครือไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 112,387 ล้านบาท
แม้ว่าจะมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มก่อนรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมัน 7.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่จากการปรับตัวลงของราคาน้ำมันดิบดูไบที่ปรับตัวลดลงจาก ณ สิ้นไตรมาสก่อนถึง 28 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้มีผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน จนทำให้เครือไทยออยล์มีขาดทุนขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม 3.2 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และมีขาดทุนใน EBITDA 4,366 ล้านบาท โดยเครือไทยออยล์มีต้นทุนทางการเงิน 617 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 83 ล้านบาทจากไตรมาสก่อน เนื่องจากในปลายไตรมาสแรกปี 55 TOP ได้ออกหุ้นกู้สกุลเงินบาท 10,000 ล้านบาท และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ยืมได้ปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนี้ ค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง 0.98 บาทต่อเหรียญสหรัฐ จาก ณ สิ้นไตรมาสก่อน ทำให้เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 578 ล้านบาท เมื่อหักค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ 34 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายดำเนินงาน ดังนั้น เครือไทยออยล์มีขาดทุนสุทธิในไตรมาส 2 ปี 55 จำนวน 6,903 ล้านบาท คิดเป็นขาดทุนสุทธิ 3.38 บาทต่อหุ้น
สำหรับผลการดำเนินงานของงวด 6 เดือนแรกของปี 2555 เครือไทยออยล์มีรายได้จากการขาย 229,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,465 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น และปริมาณการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นทั้งจากธุรกิจกลั่นน้ำมัน อะโรเมติกส์ และน้ำมันหล่อลื่นพื้นฐาน โดยมีกำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่ม 7.0 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม จากการปรับตัวลดลงของราคาน้ำมัน และผลิตภัณฑ์ในไตรมาส 2 ปี 55 ทำให้กำไรขั้นต้นจากการผลิตของกลุ่มรวมผลกระทบจากสต๊อกน้ำมันลดลงเหลือ 4.3 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ส่งผลให้ EBITDA ลดลงเหลือ 4,284 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 323 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิ 0.16 บาทต่อหุ้น