สมาคมธนาคารไทยชี้เกณฑ์บาเซิล3ทำแบงก์มีภาระต้นทุนเพิ่ม และบางแห่งต้องเพิ่มทุน แต่ไม่ช่วยให้ความเสี่ยงลดลง ระบุยังมีอีกหลายจุดที่ต้องทบทวนก่อนกำหนดใช้
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยถึงการดำรงเงินกองทุนและการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องตามเกณฑ์ Basel 3 ที่จะใช้กับธนาคารพาณิชย์ในอนาคตว่า เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการณ์และหารือกันอีกมาก เนื่องจากมีรายละเอียดที่ซับซ้อน และบางจุดยังมีข้อโต้แย้งที่หาข้อสรุปไม่ได้
ขณะนี้ประเทศใหญ่ๆอย่าง สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่นก็ยังหารือให้มีการทบทวนในบางข้อของเกณฑ์ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาของสถาบันการเงินหรือไม่ช่วยลดความเสี่ยงของระบบ แต่จะทำให้ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น จึงได้มีการเสนอให้ทบทวนในบางประเด็นและยังไม่ได้ข้อสรุป
"จุดสำคัญก็คือต้องดูว่าเกณฑ์ที่จะใช้ช่วยเทคความเสี่ยงหรือเปล่า ถ้าดูแล้วไม่ช่วย แล้วยังทำให้ต้นทุนของธนาคารสูงขึ้น ก็ต้องพิจารณากัน เพราะต้นทุนของธนาคารเพิ่มขึ้น ก็ต้องเพิ่มทุน แต่หุ้นก็ขายยากขึ้น เพราะผลตอบแทนลดลง จากกำไรที่ลดลง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะเป็นภาระของประชาชน อีกส่วนก็จะไปเป็นภาระของผู้ถือหุ้นที่ผลตอบแทนลดลง"
นายธวัชชัยกล่าวอีกว่า ปัญหาในเรื่องนี้ ทางสมาคมฯก็ได้มีการหารือกันมาตลอดทั้งกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รวมทั้งได้มีการหารือกันในระดับอาเซียนด้วย เพื่อให้ได้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมที่สุด
"ไม่เเฉพาะในเรื่องต้นทุนเท่านั้นที่ยังมีปัญหา แต่ทางด้านการลงบัญชีก็มีบางจุดที่ไม่เหมาะกับลักษณะการดำเนินธุรกิจของแบงก์ไทย ที่คงต้องมีการหารือกันอีกครั้ง"
**ไทยเครดิตยันยังไม่เพิ่มทุน**
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)(TCR Bank)กล่าวว่า ธนาคารจะยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแม้จะมีการนำเกณฑ์บาเซิล 3 มาใช้ โดยขณะนี้ธนาคารสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ 13% ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์กำหนดไว้ที่ 10.50% และเพียงพอที่จะรองรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารได้จนถึงปีหน้า จากในปี 54 ที่สินเชื่อของธนาคารขยายตัวประมาณ 40% มียอดคงค้างสินเชื่อรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของธนาคารนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่มีความชำนาญในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์มาร่วมธุรกิจ เพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง แล้วจึงดำเนินแผนการเข้าตลาดฯต่อไป โดยขณะนี้ธนาคารมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 1,600 ล้านบาท และมีทุนรอเรียกชำระอยู่อีก 1,000 ล้านบาท เพียงพอต่อการดำเนินงานในช่วงต่อไปแน่นอน
"เราไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าตลาดฯ ในขั้นที่ 1 คือจะต้องหาพันธมิตรเสริมธุรกิจในแข็งแกร่งขึ้น แล้วจดทะเบียนเข้าตลาดฯ หลังจากนั้นหากขนาดของธนาคารถึง ก็จึงจะเลื่อนขั้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นขั้นตอนไป ไม่เร่งรีบ"
นายธวัชชัย ยงกิตติกุล เลขาธิการสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยถึงการดำรงเงินกองทุนและการบริหารความเสี่ยงด้านสภาพคล่องตามเกณฑ์ Basel 3 ที่จะใช้กับธนาคารพาณิชย์ในอนาคตว่า เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมการณ์และหารือกันอีกมาก เนื่องจากมีรายละเอียดที่ซับซ้อน และบางจุดยังมีข้อโต้แย้งที่หาข้อสรุปไม่ได้
ขณะนี้ประเทศใหญ่ๆอย่าง สหรัฐอเมริกา หรือญี่ปุ่นก็ยังหารือให้มีการทบทวนในบางข้อของเกณฑ์ที่พิจารณาแล้วเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับปัญหาของสถาบันการเงินหรือไม่ช่วยลดความเสี่ยงของระบบ แต่จะทำให้ต้นทุนของธนาคารพาณิชย์สูงขึ้น จึงได้มีการเสนอให้ทบทวนในบางประเด็นและยังไม่ได้ข้อสรุป
"จุดสำคัญก็คือต้องดูว่าเกณฑ์ที่จะใช้ช่วยเทคความเสี่ยงหรือเปล่า ถ้าดูแล้วไม่ช่วย แล้วยังทำให้ต้นทุนของธนาคารสูงขึ้น ก็ต้องพิจารณากัน เพราะต้นทุนของธนาคารเพิ่มขึ้น ก็ต้องเพิ่มทุน แต่หุ้นก็ขายยากขึ้น เพราะผลตอบแทนลดลง จากกำไรที่ลดลง ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งจะเป็นภาระของประชาชน อีกส่วนก็จะไปเป็นภาระของผู้ถือหุ้นที่ผลตอบแทนลดลง"
นายธวัชชัยกล่าวอีกว่า ปัญหาในเรื่องนี้ ทางสมาคมฯก็ได้มีการหารือกันมาตลอดทั้งกับธนาคารพาณิชย์และธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) รวมทั้งได้มีการหารือกันในระดับอาเซียนด้วย เพื่อให้ได้หลักเกณฑ์ที่เหมาะสมที่สุด
"ไม่เเฉพาะในเรื่องต้นทุนเท่านั้นที่ยังมีปัญหา แต่ทางด้านการลงบัญชีก็มีบางจุดที่ไม่เหมาะกับลักษณะการดำเนินธุรกิจของแบงก์ไทย ที่คงต้องมีการหารือกันอีกครั้ง"
**ไทยเครดิตยันยังไม่เพิ่มทุน**
นายมงคล ลีลาธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยเครดิต เพื่อรายย่อย จำกัด (มหาชน)(TCR Bank)กล่าวว่า ธนาคารจะยังไม่มีความจำเป็นต้องเพิ่มทุนแม้จะมีการนำเกณฑ์บาเซิล 3 มาใช้ โดยขณะนี้ธนาคารสัดส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 อยู่ 13% ซึ่งเกินกว่าเกณฑ์กำหนดไว้ที่ 10.50% และเพียงพอที่จะรองรับการปล่อยสินเชื่อของธนาคารได้จนถึงปีหน้า จากในปี 54 ที่สินเชื่อของธนาคารขยายตัวประมาณ 40% มียอดคงค้างสินเชื่อรวมประมาณ 20,000 ล้านบาท
สำหรับแผนการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของธนาคารนั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการหาพันธมิตรที่มีความชำนาญในธุรกิจไมโครไฟแนนซ์มาร่วมธุรกิจ เพิ่มเสริมความแข็งแกร่ง แล้วจึงดำเนินแผนการเข้าตลาดฯต่อไป โดยขณะนี้ธนาคารมีทุนจดทะเบียนเรียกชำระแล้ว 1,600 ล้านบาท และมีทุนรอเรียกชำระอยู่อีก 1,000 ล้านบาท เพียงพอต่อการดำเนินงานในช่วงต่อไปแน่นอน
"เราไม่ได้รีบร้อนที่จะเข้าตลาดฯ ในขั้นที่ 1 คือจะต้องหาพันธมิตรเสริมธุรกิจในแข็งแกร่งขึ้น แล้วจดทะเบียนเข้าตลาดฯ หลังจากนั้นหากขนาดของธนาคารถึง ก็จึงจะเลื่อนขั้นเป็นธนาคารพาณิชย์เต็มรูปแบบ ซึ่งจะเป็นขั้นตอนไป ไม่เร่งรีบ"