ASTV ผู้จัดการ - “ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ” ออกโรงประกาศปี 2555 บล.คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS ยังจะสร้างผลประกอบการให้ขยายตัวดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมหยอดคำหวานผู้ถือหุ้นว่าไม่ทำให้ผิดหวังแน่ หลังจากปี 2554 ที่ผ่านมาทำได้ดีมีกำไรสุทธิ 254.45 ล้านบาท พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้ได้ชื่นใจอีกครั้งในอัตราร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิ หรือหุ้นละ 0.088 บาท เผย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 มีกำไรสะสมจำนวน 343.26 ล้านบาท พร้อมวางเป้าหมายครองส่วนแบ่งทางการตลาด TOP5 ปีนี้ยังมุ่งเป้าเป็นโบรกเกอร์ One Stop Service เปิดบริการด้านต่างๆ เพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบวงจร หวังขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นอีก 20% จากปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 55,000 บัญชี
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 ว่ายังจะมีอัตราการขยายตัวที่ดีได้อย่างต่อเนื่องและไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นนั้น ทีมงานของ CGS ได้จับตาดูอย่างใกล้ชิดและไม่ประมาทยังคงเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันมีความมั่นใจว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง
พร้อมกันนี้ในปี 2555 บล.คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS ได้วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในอันดับ TOP FIVE ซึ่งได้จัดเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ให้ครบ โดยเฉพาะในส่วนของโปรดักส์ที่มีเพิ่มขึ้นอย่าง1ต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้แบบครบวงจร ซึ่งนอกจากโปรดักส์ที่ CGS มีให้เลือกหลากหลายแล้วยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์ และพัฒนางานด้านระบบไอทีให้มีความรวดเร็วและทันสมัย ควบคู่ไปกับข้อมูลที่ครอบคลุมและค้นหาง่ายทั้งข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานและด้านเทคนิเคิล ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาศักยภาพของทีมมาร์เก็ตติ้ง
“เรามีแผนที่จะขยายฐานนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้เติบโตมากขึ้น เพื่อให้องค์กรแข็งแกร่ง โดยปัจจุบัน CGS มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 49 สาขาและ 1 สำนักงานใหญ่ โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทประมาณ 55,000 บัญชี ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายฐานให้เติบโตขึ้นอีกร้อยละ 20 ในปีนี้ ในขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการนำระบบเทคโนโลยี เข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงานและช่วยลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น”
เขากล่าวต่อว่าผลประกอบการของ CGS ในปี 2554 ที่ผ่านมานั้น เป็นอีกครั้งที่สร้างผลงานให้เป็นที่น่าประทับโดยมีกำไรสุทธิจำนวน 254.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.41 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31.13 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 194.04 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 343.26 ล้านบาท ส่วนงบการเงินเฉพาะกิจการเป็นกำไรสุทธิจำนวน 292.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.75 ล้านบาท หรือร้อยละ 71.10 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 171.23 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 350.51 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 เพื่ออนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิซึ่งเท่ากับ 0.088 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 เมษายน 2555 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 17 เมษายน 2555 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่ง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) โดยวิธีปิด สมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 18 เมษายน 2555 ทั้งนี้การจัดสรรเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้นจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผลที่ได้รับสำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เหลือให้จัดสรรเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (CGS) เปิดเผยถึงแนวโน้มผลประกอบการในปี 2555 ว่ายังจะมีอัตราการขยายตัวที่ดีได้อย่างต่อเนื่องและไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวังอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องการเปิดเสรีค่าคอมมิชชั่นนั้น ทีมงานของ CGS ได้จับตาดูอย่างใกล้ชิดและไม่ประมาทยังคงเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันมีความมั่นใจว่าจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างแข็งแกร่ง
พร้อมกันนี้ในปี 2555 บล.คันทรี่ กรุ๊ป หรือ CGS ได้วางเป้าหมายที่จะครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ในอันดับ TOP FIVE ซึ่งได้จัดเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ให้ครบ โดยเฉพาะในส่วนของโปรดักส์ที่มีเพิ่มขึ้นอย่าง1ต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้บริการได้แบบครบวงจร ซึ่งนอกจากโปรดักส์ที่ CGS มีให้เลือกหลากหลายแล้วยังมุ่งเน้นในเรื่องของการให้บริการลูกค้าทั้งในด้านของงานวิจัยหลักทรัพย์ และพัฒนางานด้านระบบไอทีให้มีความรวดเร็วและทันสมัย ควบคู่ไปกับข้อมูลที่ครอบคลุมและค้นหาง่ายทั้งข้อมูลด้านปัจจัยพื้นฐานและด้านเทคนิเคิล ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาศักยภาพของทีมมาร์เก็ตติ้ง
“เรามีแผนที่จะขยายฐานนักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันให้เติบโตมากขึ้น เพื่อให้องค์กรแข็งแกร่ง โดยปัจจุบัน CGS มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 49 สาขาและ 1 สำนักงานใหญ่ โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่เปิดบัญชีกับบริษัทประมาณ 55,000 บัญชี ซึ่งมีเป้าหมายที่จะขยายฐานให้เติบโตขึ้นอีกร้อยละ 20 ในปีนี้ ในขณะเดียวกันยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนให้ลดลงอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะการนำระบบเทคโนโลยี เข้ามาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกในการทำงานและช่วยลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้น”
เขากล่าวต่อว่าผลประกอบการของ CGS ในปี 2554 ที่ผ่านมานั้น เป็นอีกครั้งที่สร้างผลงานให้เป็นที่น่าประทับโดยมีกำไรสุทธิจำนวน 254.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.41 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 31.13 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 194.04 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 343.26 ล้านบาท ส่วนงบการเงินเฉพาะกิจการเป็นกำไรสุทธิจำนวน 292.98 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 121.75 ล้านบาท หรือร้อยละ 71.10 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 171.23 ล้านบาท โดย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2554 บริษัทมีกำไรสะสมจำนวน 350.51 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2555 เพื่ออนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2554 เพื่อจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราร้อยละ 70 ของกำไรสุทธิซึ่งเท่ากับ 0.088 บาทต่อหุ้น กำหนดจ่ายเงินปันผล ให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 27 เมษายน 2555 และกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 17 เมษายน 2555 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 แห่ง พระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์พ.ศ. 2535 (ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม) โดยวิธีปิด สมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นในวันที่ 18 เมษายน 2555 ทั้งนี้การจัดสรรเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้นจะต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 10 ของเงินปันผลที่ได้รับสำหรับกำไรสุทธิส่วนที่เหลือให้จัดสรรเป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายธุรกิจของบริษัทฯ