โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า คาดรายได้ไตรมาแรกปีนี้ สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ เหตุธุรกิจโรงแรมและอาหารเฟื่อง เผยธุรกิจโรงแรมอัตราการเข้าพักจะเพิ่ม ขณะร้านอาหารมีกำไร ปีนี้เปิดโรงแรมใหม่ 12 แห่ง ลุยรับบริหารโรงแรมงานแถบอาเซียนพร้อมเจรจาซื้อแบรนด์อาหารใหม่คาดสรุปได้ปีนี้และพร้อมรับการแข่งขันด้วยการลุยรับเปิดเสรีอาเซียน ด้วยการรับงานบริหารโรงแรมในประเทศแถบอาเซียนโดยเฉพาะในพม่า
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด(มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ไตรมาสแรกปี 55 ดีเกินเป้าหมาย และทั้งปีตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20% ทั้งธุรกิจอาหารและโรงแรม โดย 2 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 74-75% จากงวดเดียวกันปีก่อน 70% ขณะที่รายได้ต่อจำนวนห้องที่มีไว้ขายเติบโต 6-7% ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ได้ปรับราคาค่าห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-7% เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น และคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้ อัตราเข้าพักทั้งในและต่างประเทศสดใส อย่างโรงแรมที่มัลดีฟส์รายได้ทะลุเป้าแล้วคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้จะมีกำไรเช่นกัน
ส่วนธุรกิจอาหารก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบปีก่อน โดยเฉพาะเชนร้านอาหาร"โอโอโตย่า"ที่ซื้อมาเมื่อปี54 ขณะนี้พบว่ายอด 2 เดือนนี้มีกำไรแล้ว และยังเผยอีกว่าปี 55 มีแผนจะซื้อแบรนด์อาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ ซึ่งอยู่เจรจาอยู่มีทั้งอาหารญุี่ปุ่นและไต้หวัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสขยายการไปลงทุนธุรกิจอาหารในต่างประเทศด้วย ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนแถบเอเชียเข้าเจรจาชวนบริษัทร่วมลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเอาธุรกิจอาหารไทยไปเปิดให้บริการด้วย แต่เบื้องต้นขอดูความพร้อมก่อนซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะเดียวกันก็รอให้แบรนด์ไทยที่บริษัทบริหารอยู่ได้รับความนิยมก่อน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แบรนด์
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลในปีนี้ คือเรื่องการเมืองและราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ค่าพลังงานของบริษัทปีนี้สูงกว่าปี 54 อีกทั้งค่าแรงที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาท/วัน นั้น จะกระทบและทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 2% ของยอดขาย แต่ผลดีที่จะช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นคือภาษีนิติบุคคลที่ปรับลดลงเหลือ 23%
นายรณชิตกล่าวว่า ปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20% เป็น 1.37 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอาหาร 8.2 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรม 5.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมที่บริษัทไปซื้อหุ้นโรงแรมที่กะรน จ.ภูเก็ต เข้ามาเพิ่ม ซึ่งคาดว่าปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 13 แห่ง เป็นโรงแรมที่บริษัทรับจ้างบริหาร 12 แห่ง โดยมี 1 แห่งที่บริษัทร่วมลงทุนถือหุ้น 50% ที่มัลดีฟส์ คาดเปิดปลายปีนี้
"ปีนี้ธุรกิจโรงแรมคาดว่าน่าจะโต 15-20% โดยเฉพาะโรงแรมใน กรุงเทพฯ อย่าง เซ็นทารา ลาดพร้าวและเซ็นทรัลเวิล์ดที่เปิดเต็มที่แล้ว ซึ่งพบว่าเซ็นทรัลเวิล์ดยอดทะลุเป้า ทั้งจัดเลี้ยงประชุมสัมมนาโดดเด่นขึ้นมา ในส่วนธุรกิจอาหารปีนี้คาดโต 25-27% ช่วงที่ผ่านมายังรักษาไว้ได้ ผลจากร้านโอโตย่า และ KFC จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทของปีนี้" นายรณชิต กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับตัวเพื่อรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) และพร้อมรับการแข่งขันด้วยการลุยรับงานบริหารโรงแรมในประเทศแถบอาเซียน โดยเฉพาะในพม่า ส่วนโรงแรมเซ็นทาราขอนแก่นคาดเปิดเดือน พ.ค.นี้
นายรณชิต มหัทธนะพฤทธิ์ รองประธานอาวุโสฝ่ายบริหารและการเงิน บริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซ่า จำกัด(มหาชน) หรือ CENTEL เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะมีรายได้ไตรมาสแรกปี 55 ดีเกินเป้าหมาย และทั้งปีตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20% ทั้งธุรกิจอาหารและโรงแรม โดย 2 เดือนแรกของปีนี้อัตราเข้าพักเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 74-75% จากงวดเดียวกันปีก่อน 70% ขณะที่รายได้ต่อจำนวนห้องที่มีไว้ขายเติบโต 6-7% ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ได้ปรับราคาค่าห้องพักเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-7% เพราะเป็นช่วงไฮซีซั่น และคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้ อัตราเข้าพักทั้งในและต่างประเทศสดใส อย่างโรงแรมที่มัลดีฟส์รายได้ทะลุเป้าแล้วคาดว่าไตรมาสแรกปีนี้จะมีกำไรเช่นกัน
ส่วนธุรกิจอาหารก็เพิ่มขึ้นอย่างมากเทียบปีก่อน โดยเฉพาะเชนร้านอาหาร"โอโอโตย่า"ที่ซื้อมาเมื่อปี54 ขณะนี้พบว่ายอด 2 เดือนนี้มีกำไรแล้ว และยังเผยอีกว่าปี 55 มีแผนจะซื้อแบรนด์อาหารเพิ่มอีก 1 แบรนด์ ซึ่งอยู่เจรจาอยู่มีทั้งอาหารญุี่ปุ่นและไต้หวัน
นอกจากนี้ บริษัทยังมองหาโอกาสขยายการไปลงทุนธุรกิจอาหารในต่างประเทศด้วย ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีนักลงทุนแถบเอเชียเข้าเจรจาชวนบริษัทร่วมลงทุนในต่างประเทศ โดยจะเอาธุรกิจอาหารไทยไปเปิดให้บริการด้วย แต่เบื้องต้นขอดูความพร้อมก่อนซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะเดียวกันก็รอให้แบรนด์ไทยที่บริษัทบริหารอยู่ได้รับความนิยมก่อน ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 2 แบรนด์
สำหรับ ปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวลในปีนี้ คือเรื่องการเมืองและราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้ค่าพลังงานของบริษัทปีนี้สูงกว่าปี 54 อีกทั้งค่าแรงที่ปรับขึ้นเป็น 300 บาท/วัน นั้น จะกระทบและทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นเพียง 2% ของยอดขาย แต่ผลดีที่จะช่วยชดเชยผลกระทบที่เกิดขึ้นคือภาษีนิติบุคคลที่ปรับลดลงเหลือ 23%
นายรณชิตกล่าวว่า ปีนี้ตั้งเป้ารายได้รวมเติบโต 20% เป็น 1.37 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจอาหาร 8.2 พันล้านบาท และรายได้จากธุรกิจโรงแรม 5.5 พันล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมที่บริษัทไปซื้อหุ้นโรงแรมที่กะรน จ.ภูเก็ต เข้ามาเพิ่ม ซึ่งคาดว่าปีนี้จะรับรู้รายได้ประมาณ 300 ล้านบาท ขณะที่ปีนี้จะเปิดให้บริการโรงแรมใหม่อีก 13 แห่ง เป็นโรงแรมที่บริษัทรับจ้างบริหาร 12 แห่ง โดยมี 1 แห่งที่บริษัทร่วมลงทุนถือหุ้น 50% ที่มัลดีฟส์ คาดเปิดปลายปีนี้
"ปีนี้ธุรกิจโรงแรมคาดว่าน่าจะโต 15-20% โดยเฉพาะโรงแรมใน กรุงเทพฯ อย่าง เซ็นทารา ลาดพร้าวและเซ็นทรัลเวิล์ดที่เปิดเต็มที่แล้ว ซึ่งพบว่าเซ็นทรัลเวิล์ดยอดทะลุเป้า ทั้งจัดเลี้ยงประชุมสัมมนาโดดเด่นขึ้นมา ในส่วนธุรกิจอาหารปีนี้คาดโต 25-27% ช่วงที่ผ่านมายังรักษาไว้ได้ ผลจากร้านโอโตย่า และ KFC จะเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนบริษัทของปีนี้" นายรณชิต กล่าว
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ปรับตัวเพื่อรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) และพร้อมรับการแข่งขันด้วยการลุยรับงานบริหารโรงแรมในประเทศแถบอาเซียน โดยเฉพาะในพม่า ส่วนโรงแรมเซ็นทาราขอนแก่นคาดเปิดเดือน พ.ค.นี้