ASTVผู้จัดการรายวัน- “ระยองเพียวริฟายเออร์” เสียหายกว่า 13,000ล้านบาทหลังปตท. ยกเลิกสัญญาส่งวัตถุดิบ ผู้บริหารเฝ้ารออลุ้นคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่คาดใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 1 ปี พร้อมเตรียมศึกษาในการทำธุรกิจใหม่ แต่ยอมรับยังมีปัญหาด้านเงินลงทุน เหตุไร้แบงก์ช่วยอุ้ม คาดเร็วๆนี้ต้องปิดกิจการปั๊มน้ำมันกว่า 80 แห่งทั่วประเทศ พร้อมอาจต้องขายโรงกลั่น ระทึกเงินหมมุนเวียนเหลือยู่ไม่มาก จนอาจต้องปิดตัว...
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล ประธานกรรมการ บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด(มหาชน) หรือRPCได้กล่าวถึงสถานการณ์หลังจากปตท.ได้ยกเลิกสัญญาการส่งวัตถุดิบให้กับบริษัทฯว่าเบื้องต้นประเมินความเสียหายอยู่ที่ระดับ13,000ล้านบาท โดยคำนวณตั้งแต่การยกเลิกส่งวัตถุดิบตั้งแต่วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2555ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดปริมาณวัตถุดิบในคลังสินค้าก็ได้หมดแล้วทำให้ไม่สามารถเดินเครื่องจักรในการผลิตได้ โดยมูลค่าการซื้อขายวัตถุดิบกับปตท.ในช่วงที่ผ่านมามีมูลค่าถึง200,000ล้านบาทหรือเฉลี่ยปีละ20,000ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ หลังบริษัทได้ยื่นฟ้องมานาน 2 ปีเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาซื้อขายวัตถุดิบคอนเดนเสทเรสซิดิวที่บริษัททำไว้กับปตท.โดยล่าสุด ได้มีการแต่งตั้งองค์คณะอนุญาโตตุลาการเรียบร้อยแล้วซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้ระยะเวลาตัดสินประมาณ 6เดือนถึง1ปี
ด้านนายศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานกรรมการบริหาร RPCได้กล่าวว่า ตอนนี้กำลังศึกษาถึงการหาช่องทางในการทำธุรกิจใหม่ๆเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ในระหว่างการรอคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ เช่นการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ แต่เนื่องจากการลงทุนในโครงการต่างๆต้องใช้งบประมาณ และมีขั้นตอนจำนวนมากทำให้บริษัทฯสูญเสียรายได้จากการเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจประกอบกับสถาบันการเงินต่างๆเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทฯทำให้ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง
"การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศหรือการหาช่องทางธุรกิจใหม่ๆเป็นเรื่องอย่างลำบากมาก เพราะสถาบันการเงินต่างๆไม่ได้หนุนหลังในการให้สินเชื่อเหมือนก่อน และเงินหมุนเวียนของบริษัทก็เหลือไม่มากทำให้บริษัทฯอาจจะปิดตัวลงในไม่ช้าแต่หวังว่าคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการจะเสร็จสิ้นก่อน ผมเชื่อว่าเราจะต้องได้รับข่าวดีอย่างแน่นอน" นายศุภพงศ์ กล่าว
ล่าสุด บริษัทฯคาดว่าจะต้องปิดกิจการปั๊มน้ำมันเพียวกว่า 80 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานกว่า 1,000 ครอบครัวได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาของปตทในการส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทฯ
นอกจากนี้บริษัทยอมรับว่ามีแนวคิดที่จะขายโรงกลั่นโดยมีผู้สนใจเข้ามาติดต่อหลายราย แต่ยังไม่มี ปตท.เข้ามาเจรจาติดต่อแต่อย่างใด อีกทั้งธุรกิจอื่นๆของบริษัทซึ่งมีสัดส่วนรายได้รวมกัน 10% ของรายได้รวม หรือประมาณ 2,000ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถที่จะช่วยทำกำไรให้บริษัทฯได้มากพอที่จะชดเชยส่วนที่หายไปได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติต่อไป ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจขนส่ง และอสังหาริมทรัพย์(คอมมูนิตี้มอลล์)โดยปี 2556 บริษัทมีแผนเปิดคอมมูนิตี้มอลล์อีก 1 แห่ง ที่ถ.ราชพฤกษ์
นายสัจจา เจนธรรมนุกูล ประธานกรรมการ บริษัท ระยองเพียวริฟายเออร์ จำกัด(มหาชน) หรือRPCได้กล่าวถึงสถานการณ์หลังจากปตท.ได้ยกเลิกสัญญาการส่งวัตถุดิบให้กับบริษัทฯว่าเบื้องต้นประเมินความเสียหายอยู่ที่ระดับ13,000ล้านบาท โดยคำนวณตั้งแต่การยกเลิกส่งวัตถุดิบตั้งแต่วันที่ 7กุมภาพันธ์ 2555ที่ผ่านมา ซึ่งล่าสุดปริมาณวัตถุดิบในคลังสินค้าก็ได้หมดแล้วทำให้ไม่สามารถเดินเครื่องจักรในการผลิตได้ โดยมูลค่าการซื้อขายวัตถุดิบกับปตท.ในช่วงที่ผ่านมามีมูลค่าถึง200,000ล้านบาทหรือเฉลี่ยปีละ20,000ล้านบาท
ทั้งนี้บริษัทอยู่ระหว่างรอคำตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ หลังบริษัทได้ยื่นฟ้องมานาน 2 ปีเกี่ยวกับการยกเลิกสัญญาซื้อขายวัตถุดิบคอนเดนเสทเรสซิดิวที่บริษัททำไว้กับปตท.โดยล่าสุด ได้มีการแต่งตั้งองค์คณะอนุญาโตตุลาการเรียบร้อยแล้วซึ่งคาดการณ์ว่าจะใช้ระยะเวลาตัดสินประมาณ 6เดือนถึง1ปี
ด้านนายศุภพงศ์ กฤษณกาญจน์ ประธานกรรมการบริหาร RPCได้กล่าวว่า ตอนนี้กำลังศึกษาถึงการหาช่องทางในการทำธุรกิจใหม่ๆเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ในระหว่างการรอคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการ เช่นการลงทุนด้านพลังงานแสงอาทิตย์ แต่เนื่องจากการลงทุนในโครงการต่างๆต้องใช้งบประมาณ และมีขั้นตอนจำนวนมากทำให้บริษัทฯสูญเสียรายได้จากการเสียโอกาสในการดำเนินธุรกิจประกอบกับสถาบันการเงินต่างๆเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับบริษัทฯทำให้ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างรุนแรง
"การขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศหรือการหาช่องทางธุรกิจใหม่ๆเป็นเรื่องอย่างลำบากมาก เพราะสถาบันการเงินต่างๆไม่ได้หนุนหลังในการให้สินเชื่อเหมือนก่อน และเงินหมุนเวียนของบริษัทก็เหลือไม่มากทำให้บริษัทฯอาจจะปิดตัวลงในไม่ช้าแต่หวังว่าคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการจะเสร็จสิ้นก่อน ผมเชื่อว่าเราจะต้องได้รับข่าวดีอย่างแน่นอน" นายศุภพงศ์ กล่าว
ล่าสุด บริษัทฯคาดว่าจะต้องปิดกิจการปั๊มน้ำมันเพียวกว่า 80 แห่งที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ ซึ่งจะส่งผลให้พนักงานกว่า 1,000 ครอบครัวได้รับผลกระทบจากการยกเลิกสัญญาของปตทในการส่งวัตถุดิบให้แก่บริษัทฯ
นอกจากนี้บริษัทยอมรับว่ามีแนวคิดที่จะขายโรงกลั่นโดยมีผู้สนใจเข้ามาติดต่อหลายราย แต่ยังไม่มี ปตท.เข้ามาเจรจาติดต่อแต่อย่างใด อีกทั้งธุรกิจอื่นๆของบริษัทซึ่งมีสัดส่วนรายได้รวมกัน 10% ของรายได้รวม หรือประมาณ 2,000ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถที่จะช่วยทำกำไรให้บริษัทฯได้มากพอที่จะชดเชยส่วนที่หายไปได้
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติต่อไป ประกอบด้วย สถานีบริการน้ำมัน ธุรกิจขนส่ง และอสังหาริมทรัพย์(คอมมูนิตี้มอลล์)โดยปี 2556 บริษัทมีแผนเปิดคอมมูนิตี้มอลล์อีก 1 แห่ง ที่ถ.ราชพฤกษ์
