xs
xsm
sm
md
lg

หนี้ยุโรปหลอนฝรั่งจ่อขนเงินหนีตลท.ห่วงโยกเงินกลับไปถือดอลลาร์ทำบาทอ่อน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน - โบรกเกอร์มองเม็ดเงินนอกยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยเพิ่ม หลังเฟดยืนยันกดดอกเบี้ยในระดับต่ำ ทำต่างชาติหันไปกู้ดอลลาร์มาลงทุนในสินทรัพย์อื่น ชี้ช่องว่างจากปี2007 ที่ต่างชาติขายหุ้นไทยไปกว่า2.5 แสนล้านยังมีอยู่สูง แต่หวั่นช่วง 3 เดือนจากนี้หากประเทศในยุโรปจัดการหนี้สินที่ครบกำหนดไม่ได้ จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดแรงเทขาย โยกเงินกลับไปดอลลาร์จนแข็งค่า อีกทั้งปัจจัยพื้นฐานไทย อาจไม่เพียงพอรองรับเม็ดเงินมหาศาล แม้ดัชนีพุ่งแรง แต่ไม่เสถียร หลังค่า P/E ตลาดขยับขึ้นมาอยู่ที่ 12 เท่า

นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์(บล.) กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า แม้ช่วงนี้จะปรับตัวขึ้นมาสูง แต่ใช่ว่าจะมาจากแรงซื้อสุทธิของนักลงทุนต่างชาติเพียงปัจจัยเดียว เนื่องจากยังมีปัจจัยอื่นประกอบด้วยอย่างไรก็ตามหากมองในแง่ของ Fund Flow (กระแสเงินทุนที่สามารถเคลื่อนย้ายเข้าออกได้อย่างอิสระ) ยังเชื่อว่าเม็ดเงินเหล่านี้ยังทยอยเข้ามาเรื่อยๆ ทั้งตลาดหุ้นไทย และในเอเชีย รวมถึงตลาดเกิดใหม่ ซึ่งยังไม่เห็นทีท่าการไหลออกจากตลาดหุ้นไทย อีกทั้งมองว่ายังมีช่องว่างให้เม็ดเงินจากต่างประเทศเหล่านี้เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้น หากเปรียบเทียบกับจำนวนเม็ดเงินที่ไหลออกไปในช่วงก่อนซัพไพร์ม

สำหรับสาเหตุที่ทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินของโลกเพิ่มสูงขึ้นมากนั้น มองว่าเกิดจาก ธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ เป็นระยะยาวถึงปี 2014 หรือมีระยะเวลาถึง 3ปี ซึ่งในจุดนี้ ทำให้มีนักลงทุนหลายรายหันไปกู้เงินในสกุลดอลลาร์ที่มีเรทอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ เพื่อนำเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทอื่นที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าเป็นจำนวนมาก

“ในช่วงที่นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกไปจำนวนมากคือช่วงปี 2007 ซื้อมีการขายสุทธิจากตลาดหลักทรัพย์ของเรากว่า 2.5 แสนล้านบาท และเห็นการกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยจำนวนมากอีกครั้งก็เมื่อช่วงกลางปี 2009 ซึ่งมีการกลับเข้ามาซื้อสุทธิถึงประมาณ 1.4 แสนล้านบาท ดังนั้นเมื่อมองจากเรื่องดังกล่าวทำให้มีช่องว่างจำนวนมาก ให้นักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยอีกครั้ง จุดนี้เราจะมองเพียงแค่ไฮซ์เดิมไม่ได้ เพราะอาจจะมีเข้ามามากกว่านี้ เพราะนี่เป็นเพียงการเริ่มต้นเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเพิ่งเริ่มต้นได้เพียงในช่วงวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมาเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม แม้โอกาสในการทะยานขึ้นของดัชนีหุ้นไทยยังมีสูง แต่ก็มีเรื่องให้น่ากังวลเช่นกัน นั่นคือปัจจัยพื้นฐานที่มีอยู่อาจไมเพียงพอรองรับกระแสการไหลเข้าของเม็ดเงินจำนวน ที่มีสัญญาณทีชัดเจนว่าจะไหลเข้ามา เพราะปัจจัยพื้นฐานของไทยในขณะนี้ ยังไม่ดูไม่เพียงพอต่อเรื่องดังกล่าว Growth Margin ในปีนี้ไม่มากนักคิดเป็น 10-11% จากปีก่อน อีกทั้งค่าP/E ของตลาดหุ้นไทยก็ขยับเพิ่มขึ้นมากอยู่ที่ 12 เท่า จากช่วงซัพไพร์มซึ่งอยู่ที่ 10 เท่า

“เรากังวลเรื่องปัจจัยพื้นฐาน เพราะเรามองหุ้นไทยไว้ที่ 1,130 จุด หากขึ้นไปมากกว่านั้น แต่ถ้าปัจจัยฟื้นฐานไม่แน่น หรือไม่ดีโอกาสลงก็มี หรือขึ้นได้ไม่นาน มีโอกาสถูกการเทขายทำกำไรได้”

สำหรับปัญหาวิกฤตในต่างประเทศที่น่าจับตา ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ในช่วงนี้ยังไม่ค่อยมีการมองถึงเรื่องดังกล่าวมากนัก เนื่องจากตลาดใหญ่ดอกเบี้ยต่ำ ทำให้ต้นทุนทางการเงินถูก ปัญหาหนี้สินของกลุ่มประเทศยุโรป เช่น กรีซ จึงดูไม่มีน้ำหนักเท่าที่ควร

แต่สิ่งสำคัญที่นักลงทุนไม่ควรมองข้าม นั่นคือ นับจากนี้ตั้งแต่เดือนกุมพาพันธ์ จนถึงช่วงเมษายน จะมีการครบกำหนดชำระเงินพันธบัตรรัฐบาลของกลุ่มประเทศยุโรปในหลายประเทศ เช่นอิตาลี สเปน โปรตุเกส เกิดขึ้น ซึ่งถือว่านักลงทุนควรระมัดระวังการลงทุนของตนเองให้ดี เพราะหากประเทศเหล่านี้มีปัญหาในการชำระหนี้ นักลงทุนจะเกิดความกังวลจนทำให้กระแสเงินจำนวนมากจะไหลกลับไปที่เงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะมีผลให้ค่าเงินดังกล่าวแข็งค่าขึ้นจาก จากปัจจุบันที่ยังอ่อนค่าอยู่ นั่นหมายถึงตลาดหุ้นในหลายประเทศมีโอกาสปรับตัวลดลงได้เช่นกัน

“หากดูเฉพาะทางเทคนิคในเรื่องค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ก็พบว่าดอลลาร์เริ่มขยับเข้าใกล้แนวรับสำคัญ หลังจากอ่อนค่ามาตั้งแต่ช่วงกลางเดือนมกราคม ดังนั้นโอกาสกลับไปแข็งค่าอีกครั้งก็มีความเป็นไปได้”
ขณะเดียวกัน นายอดิศักดิ์ กล่าวถึงหลักทรัพย์ที่น่าลงทุนในช่วงนี้ว่า ส่วนตัวมองหุ้นในกลุ่มธนาคาร โดยเฉพาะ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นยัง Laggard กว่าในกลุ่ม โดยมองเป้าไว้ที่ 18 บาท อีกกลุ่มคือกลุ่มสื่อสาร โดยเฉพาะ บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์เซอร์สวิส (ADVANC) ซึ่งมองในแง่อัตราการปันผลในระดับที่สูง สำหรับหุ้นในกลุ่มพลังงาน มองว่าปรับตัวขึ้นมากแล้วเหลือ Upside น้อย

ทั้งนี้ ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศพบว่า ในเดือนกุมภาพพันธ์เพียงแค่ วันที่ 1- 10 ก.พ. นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสะสมในตลาดหุ้นไทยแล้ว 21,042.88 ล้านบาท ขณะที่ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมจนถึง 10 ก.พ. นักลงทุนต่างชาติมีการซื้อสะสมแล้ว 24,017.32 ล้านบาท

อนึ่งก่อนหน้านี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สรุปภาพรวมการซื้อขายในช่วงเดือนมกราคม 2555 ว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดทุนไทยแล้วประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท ส่วนใหญ่เข้าตลาดพันธบัตร (บอนด์) กว่า 8 หมื่นล้านบาท เข้าตลาดหุ้นเพียง 1.5 หมื่นล้านบาท น้อยกว่าตลาดอื่นในภูมิภาค แม้ว่าสภาพคล่องทั่วโลกจะมีสูง จากการที่ธนาคารกลางทั่วโลกอัดฉีดเงินเข้าระบบ แต่เศรษฐกิจไทยเพิ่งฟื้นตัวจากผลกระทบน้ำท่วม นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนเรื่องการเก็บค่าธรรมเนียมธนาคารพาณิชย์เพิ่มขึ้น เพื่อใช้หนี้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน กดดันดันการเข้าลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ

อย่างไรก็ตามแนวโน้มเงินทุนยังคงไหลเข้าตลาดทุนต่อเนื่อง เพื่อหาผลตอบแทนที่ดีกว่า หากกรีซไม่มีปัญหาจนต้องออกจากสหภาพอียู และอิหร่านไม่ปิดช่องแคบซึ่งเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมัน เพราะผลตอบแทนพันธบัตรในสหรัฐคงอยู่ในระดับต่ำ 0.25% ไปอีก 2 ปี ขณะที่ผลตอบแทนพันธบัตรไทยอยู่ที่ 3% บวกกับแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น นอกจากนี้ทั่วโลกไม่มีสินทรัพย์ที่ปลอดภัยให้ลงทุนเพียงพอกับสภาพคล่องที่มีอยู่จำนวนมาก
กำลังโหลดความคิดเห็น