ผู้บริหาร "ซีพี ออลล์" ยอมรับ กลุ่มธุรกิจไทยแห่เข้าลงทุนในจีน หลังประเมินเศรษฐกิจ "ยุโรป-อเมริกา" ยังน่าเป็นห่วง พร้อมเปิดแผนลงทุนปีหน้า ทุ่มเม็ดเงิน 1,500 ล้านบาท ขยายธุรกิจร้าน "เซเว่นฯ" เท่ากับทุกปี แม้จะโดนพิษน้ำท่วมปิดสาขาไปกว่า 700 แห่ง ฉุดรายได้วูบ
นายก่อศักดิ์ ไชยรัศมีศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจร้านเซเว่น-อีเลฟเว่น เปิดเผยว่า การที่รองประธานาธิบดีจีนมาเยือนไทยถือเป็นสัญญาณที่ดี สำหรับการเข้าไปลงทุนธุรกิจในประเทศจีน เนื่องจากปัจจุบันภาพรวมเศรษฐกิจในอเมริกาและยุโรปยังมีปัญหา และประเทศจีนก็มีศักยภาพ ซึ่งปัจจุบันนักธุรกิจไทยก็หันไปลงทุนในเอเชียมากขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกสินค้าไทยไปยังภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นเป็น 40-50% จากเดิมมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น
ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าที่ถือว่าเป็นโอกาสของนักธุรกิจไทยที่จะเข้าไปลงทุนในจีนไม่ใช่แค่เพียงสินค้าการเกษตรเท่านั้น แต่รวมไปถึงสินค้าอื่น เช่น เฟอร์นิเจอร์ และของแต่งบ้าน เพราะหลังจากนักลงทุนไทยทดลองนำสินค้าดังกล่าวเข้าไปทำตลาดในประเทศจีน ผู้บริโภคชาวจีนให้ความสนใจในสินค้ากลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก จึงทำให้บริษัทเล็งเห็นโอกาสที่จะเข้าไปลงทุนในประเทศจีนมากขึ้นเช่นกัน
นายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปีหน้านั้น บริษัทจะใช้งบประมาณ 1,500 ล้านบาท ในการขยายธุรกิจ แบ่งเป็น การขยายสาขาใหม่จำนวน 500 สาขา ประมาณ 1,000 ล้าน และสร้างคลังสินค้าแห่งใหญ่ในภาตะวันออกอีก 1 แห่ง ภายใต้งบ 500 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของงบการลงทุนและจำนวนสาขาใหม่ที่จะเปิดให้บริการดังกล่าว ถือเป็นสัดส่วนที่เท่ากับทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทยังมีความมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจของไทย
สำหรับในส่วนของรูปแบบร้านใหม่นั้น บริษัทจะนำโนว์ฮาว หรือเทคโนโลยีจากอเมริกาและญี่ปุ่นเกี่ยวกับการป้องกันน้ำท่วมเข้ามาใช้ในร้านเซเว่นฯ ทั้งสาขาใหม่และสาขาเก่า เพื่อให้ร้านไม่ถูกน้ำท่วม หรือถ้าท่วมไม่เกิน 50 ซม.สามารถเปิดให้บริการได้ เช่น การใช้เซรามิกเข้ามาตกแต่งร้าน เพื่อให้ง่ายต่อการทำความสะอาด และการใช้ประตูล็อกเหมือนกับรถไฟฟ้า MRT เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นอีก
"น้ำท่วมใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ร้านเซเว่นฯ ได้รับความเสียหายและต้องปิดร้านไปกว่า 700 สาขา โดยขณะนี้กลับมาเปิดให้บริการเกือบครบทุกสาขาแล้วเหลือเพียง 60 สาขา แต่คาดว่ากลางเดือนหรือปลายเดือน ม.ค. น่าจะกลับมาเปิดได้ครบทุกสาขา" นายปิยะวัฒน์ กล่าว
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการปิดร้านเฉลี่ยที่สาขาละ 4 แสนบาทลดลงจากเดิมที่เคยเสียหาย 1 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีการเตรียมความพร้อมเช่าคลังสินค้าชั่วคราว 150 แห่งทั่วประเทศ เพื่อจัดเก็บและกระจายสินค้า ขณะเดียวกันก็มีการขนสินค้าเก็บไว้ชั้น 2 สำหรับสาขาที่ถูกน้ำท่วม ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าวส่งผลให้สิ้นปีนี้มีรายได้รวมเติบโตเพียง 13% ลดลงจากเดิมที่คาดว่าจะโต 15% อย่างไรก็ตาม จากการขยายธุรกิจต่อเนื่องคาดสิ้นปี 2555 จะกลับมาเติบโตได้ที่ 15%
