ไดนาสตี้ฯ ชี้ยอดขายไตรมาส 4 หดตัวแล้ว 10-15% จากปัญหาอุทกภัยทำให้ต้องปิดสาขาOutletไปแล้ว 7แห่ง จ่อปิดเพิ่มในกทม. มั่นใจยอดขายทั้งปีเติบโตตามเป้าที่ตั้งไว้ 10-12% ตั้งงบลงทุนปีหน้า 300-400 ล้านบาทเพื่อซื้อเตาเผาเพิ่ม 1 เตา และปรับปรุงเตาให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นรวมทั้งขยายสาขาอีก
นายมารุต แสงศาสตรา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้มีการปิดสาขาจำหน่ายกระเบื้องเซรามิค (Outlet) ไปแล้ว 7 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์และสุพรรณบุรี ซึ่งอาจปิดเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ หากน้ำท่วมสูง ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 4 นี้คาดโตลดลง 10-15% แต่เชื่อว่ายังโตดีกว่าไตรมาส 4/2553 ที่มียอดขายประมาณ 1.4 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2554 บริษัทมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10-12% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 6.5 พันล้านบาท
“ภายหลังน้ำลดเชื่อว่าความต้องการใช้กระเบื้องจะกลับมาดีขึ้นเยอะและราคาพืชผลการเกษตรดีทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อแม้ว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคิดเป็น 15-20% ของพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งมาตรการเยียวยาฟื้นฟูจากภาครัฐหลังน้ำท่วม เชื่อว่าจะเห็นยอดการใช้กระเบื้องเพื่อซ่อมแซมในช่วงไตรมาส 1/2555”
แม้ว่าปริมาณการขายกระเบื้องเซรามิคจะลดลง แต่โรงงานก็ยังเดินเครื่องเต็มที่ เพื่อเก็บสต็อกสินค้าไว้รองรับความต้องการใช้ที่จะกลับเข้ามาในปีหน้า ขณะที่การส่งออกยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการส่งออกกระเบื้องเซรามิคเพียง 2-3% ของรายได้รวม โดยจะเน้นส่งออกไปยังมาเลเซียและฟิลิปปินส์ คิดเป็นมูลค่าเดือนละ 10-20 ล้านบาท
นายมารุต กล่าวต่อไปว่า ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้างบลงทุน 300-400 ล้านบาท เพื่อใช้สั่งซื้อเตาเผากระเบื้องเซรามิคเพิ่มอีก 1 เตา ในไตรมาส 2/2555 และปรับปรุงเตาเผาที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตกระเบื้องเพิ่มอีก 5% ของกำลังการผลิตในปีนี้ 61 ล้านตารางเมตรต่อปี รวมทั้งขยายสาขาOutlet เพิ่มเติมอีก 15 สาขาทั่วประเทศจากปัจจุบันที่มีอยู่ 218 สาขา
ขณะเดียวกันก็จะมีการย้ายบางสาขาที่น้ำท่วมซ้ำซากในจังหวัดนครสวรร์และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งบริษัทจะซื้อสาขาที่เป็นของแฟรนไชส์ที่ปัจจุบันเหลืออยู่ 8-9 แห่ง ให้แล้วเสร็จภายใน 2-3ปีข้างหน้า เพื่อมาบริหารเอง ทำให้การบริหารจัดการทำได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเตาเผากระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้กระเบื้องที่เติบโตขึ้นในปีหน้า หลังจากน้ำท่วมลดลง ทำให้มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นอีก 3 ล้านตารางเมตรต่อปี ใช้เงินลงทุน140-200 ล้านบาท รวมกับการปรับปรุงเตาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ปีหน้าบริษัทฯมีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นเป็น 67 ล้านตารางเมตรต่อปี ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิน) ดีขึ้นอยู่ระดับ 45-46% จากปีนี้มาร์จินบริษัทต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จาก 44% มาอยู่ที่ 43% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น และต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติในปีนี้สูงกว่าปีก่อน 2% โดยในช่วงเดือนพ.ย.นี้ราคาก๊าซฯจะปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกที่อ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้มาร์จินในปีหน้าดีขึ้น ดังนั้น เป้าหมายยอดขายในปี 2555 บริษัทคาดว่าเติบโต 10-12 %จากปีนี้
“บริษัทเตรียมเดินทางโรดโชว์นักลงทุนต่างประเทศที่ลอนดอนในวันที่ 1-6 พ.ย.นี้ เชื่อว่านักลงทุนคงซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมและผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ในความเห็นส่วนตัวอยากให้รัฐทำอะไรสักอย่างให้มีหลักการที่ชัดเจนให้มากขึ้น หากทำไม่ได้ก็ควรให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำ เพราะหากปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพฯจะส่งผลกระทบต่อGDPมาก”นายมารุตกล่าว
นายมารุต แสงศาสตรา ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบ บริษัท ไดนาสตี้เซรามิค จำกัด (มหาชน) (DCC) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้น ทำให้มีการปิดสาขาจำหน่ายกระเบื้องเซรามิค (Outlet) ไปแล้ว 7 แห่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นครสวรรค์และสุพรรณบุรี ซึ่งอาจปิดเพิ่มเติมในกรุงเทพฯ หากน้ำท่วมสูง ส่งผลให้ยอดขายในไตรมาส 4 นี้คาดโตลดลง 10-15% แต่เชื่อว่ายังโตดีกว่าไตรมาส 4/2553 ที่มียอดขายประมาณ 1.4 พันล้านบาท ทำให้ทั้งปี 2554 บริษัทมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 10-12% เมื่อเทียบจากปีก่อนที่มียอดขายรวม 6.5 พันล้านบาท
“ภายหลังน้ำลดเชื่อว่าความต้องการใช้กระเบื้องจะกลับมาดีขึ้นเยอะและราคาพืชผลการเกษตรดีทำให้ประชาชนมีกำลังซื้อแม้ว่าพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมคิดเป็น 15-20% ของพื้นที่ทั่วประเทศ รวมทั้งมาตรการเยียวยาฟื้นฟูจากภาครัฐหลังน้ำท่วม เชื่อว่าจะเห็นยอดการใช้กระเบื้องเพื่อซ่อมแซมในช่วงไตรมาส 1/2555”
แม้ว่าปริมาณการขายกระเบื้องเซรามิคจะลดลง แต่โรงงานก็ยังเดินเครื่องเต็มที่ เพื่อเก็บสต็อกสินค้าไว้รองรับความต้องการใช้ที่จะกลับเข้ามาในปีหน้า ขณะที่การส่งออกยังไม่เปลี่ยนแปลง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายการส่งออกกระเบื้องเซรามิคเพียง 2-3% ของรายได้รวม โดยจะเน้นส่งออกไปยังมาเลเซียและฟิลิปปินส์ คิดเป็นมูลค่าเดือนละ 10-20 ล้านบาท
นายมารุต กล่าวต่อไปว่า ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้างบลงทุน 300-400 ล้านบาท เพื่อใช้สั่งซื้อเตาเผากระเบื้องเซรามิคเพิ่มอีก 1 เตา ในไตรมาส 2/2555 และปรับปรุงเตาเผาที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพการผลิตกระเบื้องเพิ่มอีก 5% ของกำลังการผลิตในปีนี้ 61 ล้านตารางเมตรต่อปี รวมทั้งขยายสาขาOutlet เพิ่มเติมอีก 15 สาขาทั่วประเทศจากปัจจุบันที่มีอยู่ 218 สาขา
ขณะเดียวกันก็จะมีการย้ายบางสาขาที่น้ำท่วมซ้ำซากในจังหวัดนครสวรร์และพระนครศรีอยุธยา รวมทั้งบริษัทจะซื้อสาขาที่เป็นของแฟรนไชส์ที่ปัจจุบันเหลืออยู่ 8-9 แห่ง ให้แล้วเสร็จภายใน 2-3ปีข้างหน้า เพื่อมาบริหารเอง ทำให้การบริหารจัดการทำได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ การลงทุนเพิ่มเตาเผากระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการใช้กระเบื้องที่เติบโตขึ้นในปีหน้า หลังจากน้ำท่วมลดลง ทำให้มีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นอีก 3 ล้านตารางเมตรต่อปี ใช้เงินลงทุน140-200 ล้านบาท รวมกับการปรับปรุงเตาเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ทำให้ปีหน้าบริษัทฯมีกำลังการผลิตกระเบื้องเซรามิคเพิ่มขึ้นเป็น 67 ล้านตารางเมตรต่อปี ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น (มาร์จิน) ดีขึ้นอยู่ระดับ 45-46% จากปีนี้มาร์จินบริษัทต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้จาก 44% มาอยู่ที่ 43% เนื่องจากได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมทำให้ต้นทุนค่าขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้น และต้นทุนค่าก๊าซธรรมชาติในปีนี้สูงกว่าปีก่อน 2% โดยในช่วงเดือนพ.ย.นี้ราคาก๊าซฯจะปรับลดลงตามราคาน้ำมันโลกที่อ่อนตัวลง ซึ่งจะมีผลทำให้มาร์จินในปีหน้าดีขึ้น ดังนั้น เป้าหมายยอดขายในปี 2555 บริษัทคาดว่าเติบโต 10-12 %จากปีนี้
“บริษัทเตรียมเดินทางโรดโชว์นักลงทุนต่างประเทศที่ลอนดอนในวันที่ 1-6 พ.ย.นี้ เชื่อว่านักลงทุนคงซักถามเกี่ยวกับเหตุการณ์น้ำท่วมและผลกระทบต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ ในความเห็นส่วนตัวอยากให้รัฐทำอะไรสักอย่างให้มีหลักการที่ชัดเจนให้มากขึ้น หากทำไม่ได้ก็ควรให้ผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาทำ เพราะหากปล่อยให้น้ำท่วมกรุงเทพฯจะส่งผลกระทบต่อGDPมาก”นายมารุตกล่าว