xs
xsm
sm
md
lg

ตลท.ตรวจเข้มอินไซด์หุ้น บจ.ควบกิจการ -ซื้อกิจการ- เพิ่มทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ตลาดหลักทรัพย์ฯเข้มตรวจอินไซด์ เหตุ บจ.มีการควบรวมกิจการ -ซื้อกิจการ- เพิ่มทุน อาจมีผู้ใช้ข้อมูลภายในซื้อขายได้ “ ศักรินทร์” เผย การดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดในตลาดทุนปัจจุบันมีการลงโทษที่รวดเร็วขึ้น เหลือ 1-2 ปี จากอดีตอาจใช้เวลาถึง 4-5 ปี ด้านดัชนีหลักทรัพย์ต่างชาติซื้อต่อเนื่องกว่า2หมื่นล้าน สัปดาห์นี้มีโอกาสบวกต่อแต่ระวังแรงเทขายทำกำไร

นายศักรินทร์ ร่วมรังษี ผู้ช่วยผู้จัดการ สายงานกำกับตลาด ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การตรวจสอบการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ฯในช่วงนี้จะติดตามการซื้อขายว่ามีการใช้ข้อมูลภายใน(อินไซด์)ในการซื้อขายหุ้นเป็นพิเศษ เนื่องจาก บริษัทจดทะเบียนมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลข่าวสารที่สำคัญและอาจมีการใช้ข้อมูลภายใน ซึ่งมีผลต่อฐานะและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน(บจ.) เช่น การความรวมกิจการ การซื้อกิจการ การเพิ่มทุน ฯลฯ ที่นับว่าสามารถสร้างโอกาสในการซื้อขายหุ้นได้

ทั้งนี้ในไตรมาส1/54 ถือว่าบจ.มีการเปิดเผยข้อมูลที่ดี โดยตลาดหลักทรัพย์ฯได้มีการขึ้นเครื่องหมายต่างๆกับบจ.ที่น้อยลง ซึ่งส่วนใหญ่บจ.ที่จะถูกขึ้นเครื่องหมายจะเป็นเรื่อง การส่งงบการเงินล่าช้า หรือ ผู้สอบบัญชีไม่แสดงความเห็นในงบการเงิน ซึ่งในการตรวจสอบการซื้อขายในช่วงไตรมาส1/54 ก็มีการส่งข้อมูลการซื้อขายให้กับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)เป็นปกติ

ขณะเดียวกันในช่วงนี้จะเห็นว่าทางสำนักงานก.ล.ต. ได้มีการออกข่าวการเปรียบเทียบปรับ กล่าวโทษ ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดจำนวนมาก ซึ่งส่วนตัวมองว่าเกิดจากจังหวะเวลาในการพิจารณาเสร็จตรงกันแม้จะมีการดำเนินคดีในระยะเวลาที่ต่างกัน ประกอบกับกระบวนการดำเนินคดีรวดเร็วขึ้นเพียง 1 -2 ปีก็จะมีการลงโทษ จากเดิมที่มีระยะเวลาเฉลี่ยเกิน 4-5 ปี

อย่างไรก็ตามการดำเนินงานที่รวดเร็วขึ้นอาจจะเกิดจากการปรับวิธีการทำงาน รวมถึงจากการที่มีการร่วมมือกันดำเนินงานของ 4 หน่วยงาน คือก.ล.ต. กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) อัยการ และศาล ขณะที่กระบวนการตรวจสอบข้อมูลของตลท.ก็มีความรวดเร็วขึ้นเช่นกัน

** ต่างชาติซื้อต่อเนื่องหนุนดัชนีบวก

ขณะที่การเคลื่อนไหวของดัชนีหลักทรัพย์ สัปดาห์ก่อนดัชนีSET ปิดสูงสุดในรอบ 15 ปีที่ 1,064.35 จุด จากแรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.05% จากสัปดาห์ก่อนหน้า(21-25มี.ค.) มาอยู่ที่ 33,259.85 ล้านบาท โดยมีนาคมที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 19,599.07 ล้านบาท และในวันแรกของเม.ย.ก็ซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 8,282.05 ล้านบาท ซึ่งมองว่าส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเก็งกำไรผลประกอบการของบจ.ในไตรมาส 1/54 โดยเฉพาะในหุ้นกลุ่มธนาคาร แม้ว่าจะมีแรงขายหุ้นทำกำไรเป็นระยะ

ทำให้แนวโน้มในสัปดาห์นี้ (4-8เม.ย.) ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า ดัชนียังมีโอกาสปรับตัวขึ้น (Sideway Up) โดยขึ้นอยู่กับการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ โดยเฉพาะตลาดแรงงาน ขณะที่ยังคงต้องติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ การประชุมนโยบายอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (7 เม.ย.) ตลอดจนการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนี ISM ภาคการบริการ จึงคาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,050 และ 1,027 จุดตามลำดับ และแนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,114 จุด

ด้านนายสุกิจ อุดมศิริกุล ผอ.อาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์ลงทุนลูกค้าบุคคล สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์กล่าวว่า แนวโน้มในสัปดาห์นี้ ดัชนียังอยู่ในขาขึ้นต่อเนื่อง เพราะเชื่อว่าเงินทุนต่างชาติยังไหลเข้าต่อ ซึ่งนักลงทุนต้องระมัดระวังแรงเทขายทำกำไรที่จะเกิดขึ้นหากดัชนีเพิ่มขึ้นมาก พร้อมทั้งต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงเรื่องราคาน้ำมันดิบ และราคาหุ้นที่อาจปรับขึ้นเร็ว เพราะทำให้หุ้นมีราคาแพง โดยประเมินแนวรับที่ 1,055 จุด และแนวต้านที่ 1,100 จุด
กำลังโหลดความคิดเห็น