นายกฯ มั่นใจ ไทย-บาห์เรน ลงนาม MOU คลังสำรองอาหาร-ศูนย์กระจายสินค้าไทย สามารถขับเคลื่อนภาคเอกชนได้เร็วขึ้น ถือเป็นการเปิดประตูการค้าการลงทุนอาเซียนสู่ตะวันออกกลาง
มีรายงานข่าวว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ปฏิบัติภารกิจการเยือนบาห์เรนวันสุดท้าย โดยได้มีการพบปะหารือกับนายกรัฐมนตรีและนักธุรกิจชั้นนำของบาห์เรน ที่สภาหอการค้าและอุตสาหกรรมบาห์เรน โอกาสนี้นายกรัฐมนตรีได้กล่าวสุนทรพจน์ด้านนโยบายเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นไปด้วยดี วิกฤตการเงินโลกได้ผ่านพ้นประเทศไทยไปแล้ว และถือเป็นโอกาสที่ดีที่ไทยและบาห์เรนจะส่งเสริมการลงทุนให้ดำเนินการต่อไป เนื่องจากสองประเทศถือเป็นประตูเศรษฐกิจของอาเซียน และตะวันออกกลาง
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้กล่าวชื่นชมบาห์เรนที่มีแผนปรับปรุงนโยบายด้านเศรษฐกิจ ปี 2030 ซึ่งไทยพร้อมให้การสนับสนุนและช่วยเหลือส่งเสริมการลงทุนในทุกสาขา
ทั้งนี้ คลังสำรองอาหารจะมีการศึกษารายละเอียดเรื่องการลงทุนให้แล้วเสร็จภายใน 3-6 เดือน เพื่อวางแนวทางการทำงานให้ชัดเจน โดยสินค้าที่จะอยู่ในคลังสำรอง เบื้องต้นจะเป็น ข้าว น้ำตาล จากนั้นจะเป็นการพิจารณาวัสดุการก่อสร้าง ชิ้นส่วนยานยนต์ อุตสาหกรรมสิ่งทอ และสินค้าเกษตรอื่น ซึ่งเชื่อว่า หากประสบความสำเร็จ จะเป็นหลักประกันที่เป็นประโยชน์ร่วมกันของ 2 ประเทศ
นายกรัฐมนตรี กล่าวยืนยันว่า การลงนามในบันทึกความตกลงดังกล่าวถือเป็นขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และความร่วมมือของภาคเอกชนได้เป็นอย่างดี รวมถึงความร่วมมือด้านการก่อสร้างที่จะเริ่มขึ้น และหวังว่าสิ่งที่หารือไปในครั้งนี้จะเป็นรูปธรรมโดยเร็วที่สุด
โดยก่อนหน้านี้ นายกรัฐมนตรี ได้เข้าเฝ้า เชค ฮามัด บิน อิซา อัล คอลิฟะห์ สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน และซามาน บิน ฮามัด อัล คอลิฟะห์ มกุฎราชกุมารที่พระราชวังอัลกูดาปิยา โดยพระราชาธิบดีแห่งราชอาณาจักรบาห์เรน ทรงรับสั่งถึงความสัมพันธ์ทั้ง 2 ประเทศ ที่แน่นแฟ้นมาโดยตลอด ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ และทรงชื่นชมกับการบริการทางการแพทย์ของไทย ที่ประชาชนชาวบาห์เรนมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก รวมไปถึงการท่องเที่ยว
ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจในวันนี้ นายกรัฐมนตรีและคณะเตรียมเดินทางกลับประเทศไทย ในช่วงค่ำของวันนี้ (31 มีนาคม 2553)
