ไอพีสตาร์สนลงทุนยิงดาวเทียมร่วมกับรัฐบาลออสเตรเลีย หลังได้โครงการใหญ่บรอดแบนด์ 12 Mbps จำนวน 2 แสนครัวเรือน ไม่สนรัฐไทยยึกยักไทยคม 6 ยันไม่บ้ายิงดวงใหม่โดยไม่มีลูกค้าในมือ แย้มไทยคม 5 กับไอพีสตาร์ยังมีช่องสัญญาณและความถี่พอให้บริการ พร้อมคาดรายได้ปีนี้พุ่ง 30-80% จากการเติบโตของไอพีสตาร์
นายธนฑิต เจริญจันทร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ไทยคม กล่าวถึงผลประกอบการปี 2552 ว่าบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้น 7,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175 ล้านบาทจากปีก่อน โดยรายได้จากการบริการใช้งานแบนด์วิดท์ (จำนวนความถี่)บนดาวเทียมไอพีสตาร์ ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ เติบโต 29.7%, 11.4% และ 6.4% ตามลำดับ โดยหากคิดรายได้จากการให้บริการดาวเทียมไทยคม 1A, 2, 5 และบริการที่เกี่ยวเนื่อง มีจำนวน 2,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32 ล้านบาท หรือ 1.6% จาก 2,302 ล้านบาท ในปี 2551 โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
ส่วนไอพีสตาร์ มีรายได้จากการขายอุปกรณ์ปลายทาง(User Terminal) 986 ล้านบาท ลดลง 28% แต่มีรายได้จากการขายแบนด์วิดท์ 1,182 ล้านบาทเติบโตขึ้น 29.7% ซึ่งเป้าหมายในปีนี้ของไอพีสตาร์จะให้ความสำคัญในการขายแบนด์วิดท์มากขึ้นโดยจะมีโปรโมชันและกิจกรรมกระตุ้นตลาด โดยไอพีสตาร์จะเริ่มทำรายได้มากขึ้นหลังจากเปิดให้บริการในประเทศอินเดีย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการโอนย้ายลูกค้าจากดาวเทียมดวงอื่นมาใช้ไอพีสตาร์ และคาดว่าจะเริ่มให้บริการภายในสิ้นเดือนก.พ.หรือต้นเดือนมี.ค.นี้
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าเป็นโอเปอเรเตอร์โทรคมนาคมรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้บริการไอพีสตาร์ในเดือนเม.ย.นี้
'การเติบโตของไอพีสตาร์จะทำให้รายได้รวมของไทยคมเติบโตระหว่าง 30-80% ในปีนี้'
ไอพีสตาร์มีฐานลูกค้าสำคัญในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ทำรายได้ให้มากกว่า 63% ซึ่งในออสเตรเลียไทยคมกำลังจะเข้าร่วมประมูลโครงการบรอดแบนด์ 12 Mbps ของรัฐบาล เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 12 Mbps กับ 2 แสนครัวเรือนที่สายเคเบิลครอบคลุมไม่ถึง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยไอพีสตาร์มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลซึ่งเป็นเฟสแรกของโครงการใหญ่คือ National Broadband Network (NBN) ที่รัฐบาลมีแผนจะยิงดาวเทียมสื่อสาร 2 ดวง โดยไอพีสตาร์จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ในลักษณะเป็นเทิร์นคีย์เซอร์วิส เนื่องจากมีประสบการณ์ทั้งดาวเทียมสื่อสารทั่วไปและดาวเทียมเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
'เรายังอยู่ระหว่างคุยกับทีโอที เพื่อเสนอให้ TOT 3G ใช้ไอพีสตาร์เป็นระบบสื่อสัญญาณในการเชื่อมโยงโครงข่ายด้วย'
สำหรับผลประกอบการของธุรกิจในกลุ่ม บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจบริการโทรศัพท์ในกัมพูชาและลาว 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 220 ล้านบาท จากปีก่อน โดยสิ้นปี 2551 มียอดผู้ใช้บริการในระบบรวมทั้งสิ้น 2,217,094 ราย หรือเพิ่มขึ้น17.6% สำหรับธุรกิจการให้บริการอินเทอร์เน็ตและสื่อมีรายได้ 535 ล้านบาท โดยมียอดจำหน่าย DTV (จานเหลือง) แล้วทั้งสิ้นประมาณ 592,886 ชุด เพิ่มขึ้น 246,274 ชุดและคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านจาน
ส่วนบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (LTC) ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2552 จำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ประกาศจ่าย จำนวน 0.41 บาท/หุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลและจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.14 บาท/หุ้น
จากงบการเงินรวม บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 2,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% จาก 2,429 ล้านบาท ในปี 2551 เนื่องจากการเติบโตของรายได้และความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 465 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 471 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุน 713 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปี 2552 บริษัทฯ ได้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากต่างประเทศทำให้มีค่าตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินกู้ยืม 385 ล้านบาท ในต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นรายการทางบัญชีไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดแต่อย่างใด
บริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินกู้ยืมสุทธิต่อส่วนทุน 0.56 เท่า ลดลงจาก 0.58 เท่า สิ้นปี 2551 มีกระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน 2,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 323 ล้านบาท หรือ18.4% จากปีก่อน และมีเงินสดคงเหลือวันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นเงินทั้งสิ้น 798 ล้านบาท
นายธนฑิตกล่าวถึงดาวเทียมไทยคม 6 ว่าบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านการเงินและเทคโนโลยี เหลือแต่ปัจจัยเกี่ยวกับการกำกับดูแลของภาครัฐเท่านั้น ที่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้
'เราคงเสียสติถ้ายิงดาวเทียมมูลค่าลงทุน 100 กว่าล้านเหรียญโดยยังไม่มีลูกค้าอยู่ในมือ ซึ่งปัจจุบันดาวเทียมไทยคม 5 ก็ยังมีคาปาซิตี้เหลือ หรือไอพีสตาร์ก็ยังมีแบนด์วิดท์พอขายให้ลูกค้า ซึ่งการยิงดาวเทียมดวงใหม่ต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี ทำให้คาดว่าปีนี้คงไม่ได้เห็นดาวเทียมดวงใหม่แน่'
นายธนฑิต เจริญจันทร์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน บริษัท ไทยคม กล่าวถึงผลประกอบการปี 2552 ว่าบริษัทมีรายได้จากการขายและการให้บริการทั้งสิ้น 7,188 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 175 ล้านบาทจากปีก่อน โดยรายได้จากการบริการใช้งานแบนด์วิดท์ (จำนวนความถี่)บนดาวเทียมไอพีสตาร์ ธุรกิจโทรศัพท์มือถือ และธุรกิจอินเทอร์เน็ตและสื่อ เติบโต 29.7%, 11.4% และ 6.4% ตามลำดับ โดยหากคิดรายได้จากการให้บริการดาวเทียมไทยคม 1A, 2, 5 และบริการที่เกี่ยวเนื่อง มีจำนวน 2,338 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32 ล้านบาท หรือ 1.6% จาก 2,302 ล้านบาท ในปี 2551 โดยมีสาเหตุหลักจากปริมาณเช่าช่องสัญญาณดาวเทียมเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจการแพร่สัญญาณโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม
ส่วนไอพีสตาร์ มีรายได้จากการขายอุปกรณ์ปลายทาง(User Terminal) 986 ล้านบาท ลดลง 28% แต่มีรายได้จากการขายแบนด์วิดท์ 1,182 ล้านบาทเติบโตขึ้น 29.7% ซึ่งเป้าหมายในปีนี้ของไอพีสตาร์จะให้ความสำคัญในการขายแบนด์วิดท์มากขึ้นโดยจะมีโปรโมชันและกิจกรรมกระตุ้นตลาด โดยไอพีสตาร์จะเริ่มทำรายได้มากขึ้นหลังจากเปิดให้บริการในประเทศอินเดีย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการโอนย้ายลูกค้าจากดาวเทียมดวงอื่นมาใช้ไอพีสตาร์ และคาดว่าจะเริ่มให้บริการภายในสิ้นเดือนก.พ.หรือต้นเดือนมี.ค.นี้
นอกจากนี้ยังมีลูกค้าเป็นโอเปอเรเตอร์โทรคมนาคมรายใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้บริการไอพีสตาร์ในเดือนเม.ย.นี้
'การเติบโตของไอพีสตาร์จะทำให้รายได้รวมของไทยคมเติบโตระหว่าง 30-80% ในปีนี้'
ไอพีสตาร์มีฐานลูกค้าสำคัญในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ที่ทำรายได้ให้มากกว่า 63% ซึ่งในออสเตรเลียไทยคมกำลังจะเข้าร่วมประมูลโครงการบรอดแบนด์ 12 Mbps ของรัฐบาล เพื่อให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 12 Mbps กับ 2 แสนครัวเรือนที่สายเคเบิลครอบคลุมไม่ถึง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ โดยไอพีสตาร์มีโอกาสสูงที่จะชนะการประมูลซึ่งเป็นเฟสแรกของโครงการใหญ่คือ National Broadband Network (NBN) ที่รัฐบาลมีแผนจะยิงดาวเทียมสื่อสาร 2 ดวง โดยไอพีสตาร์จะเสนอตัวเข้าร่วมโครงการนี้ในลักษณะเป็นเทิร์นคีย์เซอร์วิส เนื่องจากมีประสบการณ์ทั้งดาวเทียมสื่อสารทั่วไปและดาวเทียมเพื่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง
'เรายังอยู่ระหว่างคุยกับทีโอที เพื่อเสนอให้ TOT 3G ใช้ไอพีสตาร์เป็นระบบสื่อสัญญาณในการเชื่อมโยงโครงข่ายด้วย'
สำหรับผลประกอบการของธุรกิจในกลุ่ม บริษัทฯ มีรายได้จากธุรกิจบริการโทรศัพท์ในกัมพูชาและลาว 2,147 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 220 ล้านบาท จากปีก่อน โดยสิ้นปี 2551 มียอดผู้ใช้บริการในระบบรวมทั้งสิ้น 2,217,094 ราย หรือเพิ่มขึ้น17.6% สำหรับธุรกิจการให้บริการอินเทอร์เน็ตและสื่อมีรายได้ 535 ล้านบาท โดยมียอดจำหน่าย DTV (จานเหลือง) แล้วทั้งสิ้นประมาณ 592,886 ชุด เพิ่มขึ้น 246,274 ชุดและคาดว่าปีนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 1 ล้านจาน
ส่วนบริษัท ลาว เทเลคอมมิวนิเคชั่นส์ (LTC) ประกาศจ่ายเงินปันผลจากผลการดำเนินงานประจำปี 2552 จำนวน 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่ บริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ (CSL) ประกาศจ่าย จำนวน 0.41 บาท/หุ้น โดยเป็นเงินปันผลระหว่างกาลและจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นแล้วจำนวน 0.14 บาท/หุ้น
จากงบการเงินรวม บริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) จำนวน 2,663 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% จาก 2,429 ล้านบาท ในปี 2551 เนื่องจากการเติบโตของรายได้และความสามารถในการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่ลดลง รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 465 ล้านบาท ส่งผลให้ผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 471 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนที่ขาดทุน 713 ล้านบาท
ทั้งนี้ในปี 2552 บริษัทฯ ได้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากต่างประเทศทำให้มีค่าตัดจำหน่ายค่าใช้จ่ายในการจัดหาเงินกู้ยืม 385 ล้านบาท ในต้นทุนทางการเงินซึ่งเป็นรายการทางบัญชีไม่ส่งผลกระทบต่อกระแสเงินสดแต่อย่างใด
บริษัทฯ มีอัตราส่วนเงินกู้ยืมสุทธิต่อส่วนทุน 0.56 เท่า ลดลงจาก 0.58 เท่า สิ้นปี 2551 มีกระแสเงินสดสุทธิได้มาจากกิจกรรมดำเนินงาน 2,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 323 ล้านบาท หรือ18.4% จากปีก่อน และมีเงินสดคงเหลือวันที่ 31 ธันวาคม 2552 เป็นเงินทั้งสิ้น 798 ล้านบาท
นายธนฑิตกล่าวถึงดาวเทียมไทยคม 6 ว่าบริษัทมีความพร้อมทั้งด้านการเงินและเทคโนโลยี เหลือแต่ปัจจัยเกี่ยวกับการกำกับดูแลของภาครัฐเท่านั้น ที่ยังไม่มีความชัดเจนในขณะนี้
'เราคงเสียสติถ้ายิงดาวเทียมมูลค่าลงทุน 100 กว่าล้านเหรียญโดยยังไม่มีลูกค้าอยู่ในมือ ซึ่งปัจจุบันดาวเทียมไทยคม 5 ก็ยังมีคาปาซิตี้เหลือ หรือไอพีสตาร์ก็ยังมีแบนด์วิดท์พอขายให้ลูกค้า ซึ่งการยิงดาวเทียมดวงใหม่ต้องใช้เวลามากกว่า 1 ปี ทำให้คาดว่าปีนี้คงไม่ได้เห็นดาวเทียมดวงใหม่แน่'