บลจ.เอ็มเอฟซี ฝ่ากระแสฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ คลอดทาร์เก็ตฟันด์ ลุย "REIT" ทั่วโลก ตั้งเป้า 1 ปีผลตอบแทน 10 % ระบุกรณีดูไบ เวิร์ดไม่น่าห่วง มองเป็นโอกาสซื้อของถูกหลังราคาปรับลง ระบุไม่ปิดช่องลงทุนในดูไบ
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลกระทบของวิกฤตซับไพร์มในช่วงกลางปี 2550 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การลงทุนใน REIT หรือ Real Estate Investment Trusts มีการปรับตัวลดลงกว่า 70% จากระดับสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หลังจากมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตได้ ซึ่งการลงทุนใน REIT เอง ถือเป็นการลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภททั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี โดยลงทุนใน อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการปรับลดลงดังกล่าว บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสจากการลงทุนใน REIT ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้มากขึ้น จากการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่ที่มีมูลค่าปรับตัวลง รวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่เดิม
โดยได้เสนอขายเสนอขายทาร์เก็ตฟันด์รูปแบบใหม่กองทุนแรกของไทย คือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เทน ฟันด์ หรือกองทุนเปิด I-REITs 10 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพียงหมวดเดียว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และตราสารของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เช่น Exchange Traded Fund ภายใต้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trusts และ Property Fund เป็นต้น รวมถึงหุ้นภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งกองทุนจะเสนอขายหน่วยลงทุนไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
โดยจุดเด่นของกองทุน จะสามารถเลิกโครงการได้เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.30 บาท และตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือร้อยละ 10 ภายในเวลา 1 ปี แต่หากเกินระยะเวลา 1 ปีแล้วไม่เป็นไปตามคาดหมาย ผู้ถือหน่วยลงทุนจะสามารถเลือกได้สะดวกตามความต้องการว่าจะลงทุนต่อไป ซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มหรือขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และหากในช่วงปีที่สองนี้ มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 11.30 บาทก็จะสามารถเลิกกองทุนได้เช่นกัน
นายพิชิตมองว่า REIT จะยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ และคาดการณ์ว่าในปีหน้า เศรษฐกิจโลกยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมที่จะเข้าไปลงทุนใน REIT เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของ REIT นอกจากนี้ การลงทุนใน REIT ยังเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่สามารถการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้ นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้
ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นกับดูไบ เวิร์ดนั้น มองว่าน่าจะเป็นบวกต่อกองทุน เนื่องจากกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ ดังนั้น หากลงทุนในราคาต่ำก็จะเป็นผลดีต่อผลตอบแทนในระยะต่อไป ซึ่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯเอง ก็เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก เพราะหากเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่รัฐบาลลงทุนมาก่อนหน้านี้ถือว่าน้อยมากและเทียบกันไม่ได้
สำหรับพอร์ตการลงทุนเบื้องต้นของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เทน ฟันด์ จะเข้าไปลงทุนใน REIT ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงหุ้นของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยในส่วนของการลงทุนในดูไบเอง กองทุนไม่ได้ปิดโอกาส
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า การลงทุนใน REIT ทั่วโลก สามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% ซึ่งหลังจากนี้เรายังมองว่ามีโอกาส เพราะราคายังไม่ขยับขึ้นไปถึงระดับสูงสุดก่อนจะลดลงจากวิกฤตซับไพร์ม
นายพิชิต อัคราทิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลกระทบของวิกฤตซับไพร์มในช่วงกลางปี 2550 ที่ผ่านมา ส่งผลให้การลงทุนใน REIT หรือ Real Estate Investment Trusts มีการปรับตัวลดลงกว่า 70% จากระดับสูงสุดในช่วงเวลาดังกล่าว แต่หลังจากมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เติบโตได้ ซึ่งการลงทุนใน REIT เอง ถือเป็นการลงทุนโดยตรงในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภททั่วโลกเพื่อกระจายความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี โดยลงทุนใน อาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า โรงงาน เป็นต้น
ทั้งนี้ จากการปรับลดลงดังกล่าว บริษัทจึงเล็งเห็นถึงโอกาสจากการลงทุนใน REIT ที่จะสามารถสร้างรายได้ให้มากขึ้น จากการเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ใหม่ที่มีมูลค่าปรับตัวลง รวมถึงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีอยู่เดิม
โดยได้เสนอขายเสนอขายทาร์เก็ตฟันด์รูปแบบใหม่กองทุนแรกของไทย คือ กองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เทน ฟันด์ หรือกองทุนเปิด I-REITs 10 มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เน้นการลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ต่างประเทศเพียงหมวดเดียว ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน โดยลงทุนในหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ และตราสารของกองทุนอสังหาริมทรัพย์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
เช่น Exchange Traded Fund ภายใต้อุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ Real Estate Investment Trusts และ Property Fund เป็นต้น รวมถึงหุ้นภายใต้กลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก โดยมีการป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามความเหมาะสมกับสภาวการณ์ตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน ซึ่งกองทุนจะเสนอขายหน่วยลงทุนไปจนถึงวันที่ 8 ธันวาคมนี้ ด้วยมูลค่าเงินลงทุนขั้นต่ำ 10,000 บาท
โดยจุดเด่นของกองทุน จะสามารถเลิกโครงการได้เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11.30 บาท และตั้งเป้าหมายผลตอบแทนที่คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุนไม่ต่ำกว่า 11 บาทต่อหน่วยลงทุน หรือร้อยละ 10 ภายในเวลา 1 ปี แต่หากเกินระยะเวลา 1 ปีแล้วไม่เป็นไปตามคาดหมาย ผู้ถือหน่วยลงทุนจะสามารถเลือกได้สะดวกตามความต้องการว่าจะลงทุนต่อไป ซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มหรือขายคืนหน่วยลงทุนได้ทุกวันทำการ และหากในช่วงปีที่สองนี้ มูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 11.30 บาทก็จะสามารถเลิกกองทุนได้เช่นกัน
นายพิชิตมองว่า REIT จะยังอยู่ในทิศทางขาขึ้นในช่วง 1-2 ปีนี้ และคาดการณ์ว่าในปีหน้า เศรษฐกิจโลกยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงเป็นจังหวะการลงทุนที่เหมาะสมที่จะเข้าไปลงทุนใน REIT เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการเติบโตของ REIT นอกจากนี้ การลงทุนใน REIT ยังเป็นอีกหนึ่งหลักทรัพย์ที่สามารถการกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุนของนักลงทุนได้ นอกเหนือจากการลงทุนในหุ้นและตราสารหนี้
ส่วนกรณีที่เกิดขึ้นกับดูไบ เวิร์ดนั้น มองว่าน่าจะเป็นบวกต่อกองทุน เนื่องจากกองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนประเภททาร์เก็ตฟันด์ ดังนั้น หากลงทุนในราคาต่ำก็จะเป็นผลดีต่อผลตอบแทนในระยะต่อไป ซึ่งผลกระทบต่อภาคอสังหาฯเอง ก็เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก เพราะหากเทียบกับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่รัฐบาลลงทุนมาก่อนหน้านี้ถือว่าน้อยมากและเทียบกันไม่ได้
สำหรับพอร์ตการลงทุนเบื้องต้นของกองทุนเปิดเอ็มเอฟซี อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เทน ฟันด์ จะเข้าไปลงทุนใน REIT ทั่วโลก ซึ่งรวมถึงหุ้นของกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ด้วย โดยในส่วนของการลงทุนในดูไบเอง กองทุนไม่ได้ปิดโอกาส
ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีถึงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา พบว่า การลงทุนใน REIT ทั่วโลก สามารถให้ผลตอบแทนได้ถึง 30% ซึ่งหลังจากนี้เรายังมองว่ามีโอกาส เพราะราคายังไม่ขยับขึ้นไปถึงระดับสูงสุดก่อนจะลดลงจากวิกฤตซับไพร์ม