โบรกเกอร์กองทุนรวม ประเมินสินทรัพย์กลุ่มประเทศเกิดใหม่ โดยเฉพาะประเทศจีน มีเเนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง เเนะนักลงทุนทยอยเก็บหุ้นมังกรเข้าพอร์ต หลังเศรษฐกิจเริ่มเเข็งเเกร่งขึ้น
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมามีความผันผวนจากความไม่เชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐฯ ลดลง 3.6% ในเดือนกันยายน 52 ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ดีดกลับในช่วงปลายเดือนส่งผลต่อตลาด สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลง อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจบาง ตัวยังคงปรับตัวดีขึ้น และการขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ส่งผลให้ตลาดฟื้นตัวอีกครั้ง ทั้งนี้เรายังคงมองภาพการฟื้น ตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งจากตัวเลขอัตราการ ว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นเป็น 10.20% ในเดือนตุลาคม จาก 9.80%ในเดือนกันยายน
สำหรับการจัดสินทรัพย์เดือนพฤศจิกายนนี้ เรายังคงสัดส่วนไว้เท่าเดิมเหมือนเดือนก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 30% กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ 50% และเงินสดหรือกองทุนตลาดเงิน 20% ตามภาวะเศรษฐกิจโลกเเละไทย ที่การฟื้นตัวยังคงไม่แข็งแกร่งมีปัจจัยเสี่ยง เราแนะนำลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการฟื้นตัวดีอย่างกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)โดยเฉพาะจีนที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง GDP ไตรมาส 3 ออกมาเติบโตขึ้น 8.90% และยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งล่าสุด Moody’s ได้มีการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศจีนขึ้นจาก มีเสถียรภาพ เป็น เชิงบวก จากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งท่ามกลางผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามในภาวะที่โลกเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่จีนยังคงเป็น 1 ในประเทศที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่งดังเห็นได้จาก GDP จีนในไตรมาส 3/52 โตขึ้น 8.9% เกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เราจึงมองจีนยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แต่ด้วยข้อจำกัดในการลงทุน ต่างประเทศจึงต้องพึ่งกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีนเป็นสื่อกลางในการลงทุน
นอกจากนี้เรายังคงแนะนำกองทุนทองคำต่อจากเดือนที่แล้วโดยมองว่ายังมีความน่าสนใจเนื่องจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ยังมีการอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และความต้องการทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศซึ่งต่างให้ความสนใจทองคำเพื่อลดการถือดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ตลาดการลงทุนในประเทศจีนแบ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ซึ่งทั้ง 2 ตลาดจะเป็นตลาดที่ทำการซื้อขาย A Share ซึ่งเป็นหุ้นจีนสำหรับนักลงทุนจีนโดยซื้อขายกันในสกุลเงินหยวน และมีโควต้าสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ส่วน B Share นั้นเป็นหุ้นจีนที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ) ส่วน H Share นั้นจะเป็นหุ้นจีนที่ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศฮ่องกงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับหุ้น Red Chips เป็นหุ้นของบริษัทที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง และซื้อขาย ในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง
ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทุนจีนถือว่าเป็นการลงทุนที่เน้นลงทุนในประเทศเดียว หรือกลุ่มประเทศที่คล้ายคลึงกัน นักลงทุนจึงควรคำนึงในแง่ของการกระจายความเสี่ยงในเชิงภูมิศาสตร์ด้วย ไม่ควรที่จะลงทุนแต่เฉพาะกองทุนจีนเพียงอย่างเดียวในพอร์ตการลงทุน
นางสาวศุภมาส พยัคฆพันธ์ Fund SuperMart Analyst บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในเดือนที่ผ่านมามีความผันผวนจากความไม่เชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยอดขายบ้านใหม่ในสหรัฐฯ ลดลง 3.6% ในเดือนกันยายน 52 ทำให้ค่าเงินดอลลาร์ดีดกลับในช่วงปลายเดือนส่งผลต่อตลาด สินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลง อย่างไรก็ตามตัวเลขเศรษฐกิจบาง ตัวยังคงปรับตัวดีขึ้น และการขยายมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อไป ส่งผลให้ตลาดฟื้นตัวอีกครั้ง ทั้งนี้เรายังคงมองภาพการฟื้น ตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังไม่แข็งแกร่งจากตัวเลขอัตราการ ว่างงานที่พุ่งสูงขึ้นเป็น 10.20% ในเดือนตุลาคม จาก 9.80%ในเดือนกันยายน
สำหรับการจัดสินทรัพย์เดือนพฤศจิกายนนี้ เรายังคงสัดส่วนไว้เท่าเดิมเหมือนเดือนก่อนหน้า โดยมีสัดส่วนกองทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 30% กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ 50% และเงินสดหรือกองทุนตลาดเงิน 20% ตามภาวะเศรษฐกิจโลกเเละไทย ที่การฟื้นตัวยังคงไม่แข็งแกร่งมีปัจจัยเสี่ยง เราแนะนำลงทุนในกลุ่มประเทศที่มีการฟื้นตัวดีอย่างกลุ่มตลาดเกิดใหม่ (Emerging Market)โดยเฉพาะจีนที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง GDP ไตรมาส 3 ออกมาเติบโตขึ้น 8.90% และยังคงนโยบายการเงินแบบผ่อนคลายต่อไป ซึ่งล่าสุด Moody’s ได้มีการปรับอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศจีนขึ้นจาก มีเสถียรภาพ เป็น เชิงบวก จากเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งท่ามกลางผลกระทบวิกฤตเศรษฐกิจโลก
อย่างไรก็ตามในภาวะที่โลกเผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ แต่จีนยังคงเป็น 1 ในประเทศที่เศรษฐกิจยังแข็งแกร่งดังเห็นได้จาก GDP จีนในไตรมาส 3/52 โตขึ้น 8.9% เกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เราจึงมองจีนยังเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับการลงทุน แต่ด้วยข้อจำกัดในการลงทุน ต่างประเทศจึงต้องพึ่งกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นจีนเป็นสื่อกลางในการลงทุน
นอกจากนี้เรายังคงแนะนำกองทุนทองคำต่อจากเดือนที่แล้วโดยมองว่ายังมีความน่าสนใจเนื่องจากแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ยังมีการอ่อนค่าลงต่อเนื่อง และความต้องการทองคำของธนาคารกลางในหลายประเทศซึ่งต่างให้ความสนใจทองคำเพื่อลดการถือดอลลาร์สหรัฐฯ
ทั้งนี้ตลาดการลงทุนในประเทศจีนแบ่งเป็น 2 ตลาดใหญ่ๆ ด้วยกันคือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ และตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น ซึ่งทั้ง 2 ตลาดจะเป็นตลาดที่ทำการซื้อขาย A Share ซึ่งเป็นหุ้นจีนสำหรับนักลงทุนจีนโดยซื้อขายกันในสกุลเงินหยวน และมีโควต้าสำหรับนักลงทุนต่างชาติ ส่วน B Share นั้นเป็นหุ้นจีนที่ซื้อขายในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ สำหรับนักลงทุนต่างชาติ) ส่วน H Share นั้นจะเป็นหุ้นจีนที่ทำการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ในประเทศฮ่องกงสำหรับนักลงทุนต่างชาติ และซื้อขายกันในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง สำหรับหุ้น Red Chips เป็นหุ้นของบริษัทที่ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐบาลจีน จดทะเบียนในตลาดฮ่องกง และซื้อขาย ในสกุลเงินดอลลาร์ฮ่องกง
ขณะเดียวกันการลงทุนในกองทุนจีนถือว่าเป็นการลงทุนที่เน้นลงทุนในประเทศเดียว หรือกลุ่มประเทศที่คล้ายคลึงกัน นักลงทุนจึงควรคำนึงในแง่ของการกระจายความเสี่ยงในเชิงภูมิศาสตร์ด้วย ไม่ควรที่จะลงทุนแต่เฉพาะกองทุนจีนเพียงอย่างเดียวในพอร์ตการลงทุน