ประธาน ส.อ.ท.แฉโครงการไทยเข้มแข็งส่งกลิ่นโฉ่ ผู้ประกอบการแห่ร้องเรียน "ไอ้โม่งขี้ตะกละ" เรียกค่าหัวคิวสุดโหด 20-25% จากที่เคยจ่ายหัวละ 5% ต่อโครงการ พร้อมวอนให้กินกันแค่หอมปากหอมคอ เพื่อให้ผู้ประกอบการอยู่ได้ หวั่นกระทบต่อการดำเนินการของโครงการ แนะจับตาเม็ดเงิน 1.4 ล้านบาทบาท ปี 53 อาจมีการโกงกินครั้งมโหฬาร พร้อมเชื่อว่า จะมีการเร่งเบิกจ่ายเม็ดเงินได้อย่างรวดเร็ว เนื่องจากผู้ประกอบการเส้นใหญ่ ล็อกสเปกเอาไว้หมดแล้ว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตนเองได้รับทราบจากผู้รับเหมาก่อสร้างหนาหูขึ้น โดยมีการร้องเรียนว่า มีนักการเมืองเรียกรับหัวคิวโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ซึ่งถือว่ากินกันมากเกินไปแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้โครงการขาดความโปร่งใสแล้ว ยังอาจจะทำให้มีผลกระทบไปถึงต้นทุนและส่งผลให้เกิดปัญหาในการดำเนินการได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ได้แก่ การกินค่าหัวคิวกันมากเกินไปเหมือนอดอยากหิวโซ ซึ่งถ้ามีการกินกันหอมปากหอมคอแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร และถือว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
ทั้งนี้ โครงการปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีวงเงินลงทุนสุงถึง 1.43 ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีเม็ดเงินเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสูงถึง 1.04 ล้านล้านบาท หากมีการเรียกรับหัวคิวกันแบบตะกละตะกราม ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่า การเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล น่าจะทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบไว้แล้ว หรือที่เรียกกันว่า การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการเส้นใหญ่ เอาไว้ไว้เรียบร้อยแล้ว
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ตนเองได้รับทราบจากผู้รับเหมาก่อสร้างหนาหูขึ้น โดยมีการร้องเรียนว่า มีนักการเมืองเรียกรับหัวคิวโครงการต่างๆ ภายใต้งบประมาณไทยเข้มแข็งสูงถึง 20-25% ซึ่งถือว่ากินกันมากเกินไปแล้ว เพราะนอกจากจะทำให้โครงการขาดความโปร่งใสแล้ว ยังอาจจะทำให้มีผลกระทบไปถึงต้นทุนและส่งผลให้เกิดปัญหาในการดำเนินการได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุด ได้แก่ การกินค่าหัวคิวกันมากเกินไปเหมือนอดอยากหิวโซ ซึ่งถ้ามีการกินกันหอมปากหอมคอแค่ 5% ก็คงไม่เป็นไร และถือว่าเป็นเรื่องปรกติธรรมดา
ทั้งนี้ โครงการปฎิบัติการไทยเข้มแข็ง ซึ่งมีวงเงินลงทุนสุงถึง 1.43 ล้านล้านบาท คาดว่าจะมีเม็ดเงินเริ่มทยอยเข้าสู่ระบบปี 2552 ประมาณ 2 หมื่นล้านบาท แต่ในปี 2553 จะมีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจสูงถึง 1.04 ล้านล้านบาท หากมีการเรียกรับหัวคิวกันแบบตะกละตะกราม ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ประธาน ส.อ.ท. ยังเชื่อว่า การเบิกจ่ายงบโครงการไทยเข้มแข็งของรัฐบาล น่าจะทำได้อย่างรวดเร็ว เพราะมีการกำหนดแบบไว้แล้ว หรือที่เรียกกันว่า การล็อกสเปกจากผู้ประกอบการเส้นใหญ่ เอาไว้ไว้เรียบร้อยแล้ว