เจริญโภคภัณฑ์อาหาร ทุ่มงบเบื้องต้น 1,525 ล้านบาท เปิดธุรกิจอุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ ธุรกิจฟาร์มสุกร และธุรกิจสุกรในฟิลลิปปินส์ หลังทดลองตลาดมาระยะหนึ่งและประสบผลสำเร็จ เชื่ออกาสและศักยภาพการดำเนินธุรกิจดี เหตุประชากรจำนวนมากและบริโภคเนื้อสุกรต่อปีสูง
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่าบริษัทได้ลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อบริษัท " CPF Philippines Corporation " หลังจากได้ทดลองทำตลาดมาแล้วระยะหนึ่งและประสบความสำเร็จอย่างดี จึงเปิดดำเนินธุรกิจ "อุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ" และ "ธุรกิจฟาร์มสุกร" ขึ้น โดยใช้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 1,525 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 1,400 ล้านบาทและธุรกิจสุกร 125 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำประกอบด้วย โรงงานผลิตอาหารกุ้งในเมืองซีบู (CEBU) ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจเขตหนึ่งของฟิลิปปินส์ โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 ตันต่อปี ขณะที่โรงงานอาหารปลา ขนาดกำลังการผลิต 60,000 ตันต่อปี จะตั้งขึ้น ณ เกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 ส่วนธุรกิจฟาร์มสุกรนั้น จะดำเนินโครงการฟาร์มสุกรระดับทวดพันธุ์ (GGP) และปู่ย่าพันธุ์ (GP) ขนาด 1,200 แม่ รวมถึงฟาร์มสุกรรุ่นพันธุ์ CP ขนาด 10,400 ตัว ที่เกาะลูซอน
" โอกาสและศักยภาพการดำเนินธุรกิจในฟิลิปปินส์นั้นค่อนข้างดีมาก เพราะฟิลิปปินส์มีประชากรเกือบ 92 ล้านคนและมีอัตราการเกิดเฉลี่ย 2% ต่อปี นับว่าค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันอัตราการบริโภคสุกรของคนฟิลิปปินส์อยู่ที่ 15 กก.ต่อคนต่อปี สูงกว่าคนไทยที่บริโภคเพียง 13 กก. ต่อคนต่อปี แสดงให้เห็นความนิยมบริโภคเนื้อสุกรของชาวฟิลิปปินส์ได้ดี ขณะที่มาตรฐานการผลิตเนื้อสุกรและเทคโนโลยีการผลิตของ CPF นั้นเป็นที่ยอมรับในระดับโลก " นายอดิเรกกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งหลัง ปี 2552 คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ทำรายได้ถึง 75,393 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,964 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถรายงานผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ได้ดีกว่าครึ่งปีแรกจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่ลงทุนในต่างประเทศ การส่งออกสินค้าอาหารแปรรูปแบรนด์ซีพี และการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งยังคงมีแนวโน้มที่ดี
นอกจากนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ประกอบกับการบริหารด้านการเงิน ก็ช่วยส่งผลให้มีต้นทุนด้านการเงินที่ลดลง และคาดว่าผลการดำเนินการต่างๆนี้ จะยังคงส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 2553 ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานการทำกำไรที่มั่นคงกว่าในอดีตที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะมีกำไรจากการดำเนินงานดีต่อเนื่องจากปี 2552 นี้
นายอดิเรก ศรีประทักษ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด(มหาชน) หรือ CPF เปิดเผยว่าบริษัทได้ลงทุนตั้งฐานการผลิตในประเทศฟิลิปปินส์ ภายใต้ชื่อบริษัท " CPF Philippines Corporation " หลังจากได้ทดลองทำตลาดมาแล้วระยะหนึ่งและประสบความสำเร็จอย่างดี จึงเปิดดำเนินธุรกิจ "อุตสาหกรรมอาหารสัตว์น้ำ" และ "ธุรกิจฟาร์มสุกร" ขึ้น โดยใช้เงินลงทุนเบื้องต้นราว 1,525 ล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำ 1,400 ล้านบาทและธุรกิจสุกร 125 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำประกอบด้วย โรงงานผลิตอาหารกุ้งในเมืองซีบู (CEBU) ซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจเขตหนึ่งของฟิลิปปินส์ โดยมีกำลังการผลิตอยู่ที่ 30,000 ตันต่อปี ขณะที่โรงงานอาหารปลา ขนาดกำลังการผลิต 60,000 ตันต่อปี จะตั้งขึ้น ณ เกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในฟิลิปปินส์ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2553 ส่วนธุรกิจฟาร์มสุกรนั้น จะดำเนินโครงการฟาร์มสุกรระดับทวดพันธุ์ (GGP) และปู่ย่าพันธุ์ (GP) ขนาด 1,200 แม่ รวมถึงฟาร์มสุกรรุ่นพันธุ์ CP ขนาด 10,400 ตัว ที่เกาะลูซอน
" โอกาสและศักยภาพการดำเนินธุรกิจในฟิลิปปินส์นั้นค่อนข้างดีมาก เพราะฟิลิปปินส์มีประชากรเกือบ 92 ล้านคนและมีอัตราการเกิดเฉลี่ย 2% ต่อปี นับว่าค่อนข้างสูง ขณะเดียวกันอัตราการบริโภคสุกรของคนฟิลิปปินส์อยู่ที่ 15 กก.ต่อคนต่อปี สูงกว่าคนไทยที่บริโภคเพียง 13 กก. ต่อคนต่อปี แสดงให้เห็นความนิยมบริโภคเนื้อสุกรของชาวฟิลิปปินส์ได้ดี ขณะที่มาตรฐานการผลิตเนื้อสุกรและเทคโนโลยีการผลิตของ CPF นั้นเป็นที่ยอมรับในระดับโลก " นายอดิเรกกล่าว
สำหรับผลการดำเนินงานในครึ่งหลัง ปี 2552 คาดว่าจะเติบโตอย่างโดดเด่น ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ทำรายได้ถึง 75,393 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,964 ล้านบาท โดยคาดว่าจะสามารถรายงานผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลังนี้ได้ดีกว่าครึ่งปีแรกจากสถานการณ์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกิจการที่ลงทุนในต่างประเทศ การส่งออกสินค้าอาหารแปรรูปแบรนด์ซีพี และการส่งออกผลิตภัณฑ์กุ้งยังคงมีแนวโน้มที่ดี
นอกจากนั้นการเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน ประกอบกับการบริหารด้านการเงิน ก็ช่วยส่งผลให้มีต้นทุนด้านการเงินที่ลดลง และคาดว่าผลการดำเนินการต่างๆนี้ จะยังคงส่งผลให้ผลการดำเนินงานในปี 2553 ยังคงยืนอยู่บนพื้นฐานการทำกำไรที่มั่นคงกว่าในอดีตที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะมีกำไรจากการดำเนินงานดีต่อเนื่องจากปี 2552 นี้