ERA รุกขยายแฟรนไชส์ใหม่ หลังคนตกงานเริ่มหันทำอาชีพตัวแทนนายหน้า ระบุบ้านมือสองโตต่อเนื่องปีละ 10-15% มูลค่าปัจจุบันแสนล้านบาท ตั้งเป้า 3 ปี ชิงส่วนแบ่งตลาด 20% ขยายแฟรนไชส์ 30 แห่ง เพิ่มตัวแทนขาย 5,000 คน
นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานบริหาร บริษัท อีอาร์เอ แฟรนไชส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ERA ผู้ให้บริการซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ทำการขยายแฟรนไชส์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ในปีนี้จะเริ่มรุกตลาดอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อใดที่มีคนตกงานจำนวนมากๆ อาชีพตัวแทนนายหน้าก็จะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะเดียวกันเมื่อใดที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำมากๆ จะทำให้ตลาดบ้านมือสองกลับมาคึกคักทันที โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการขยายตัวได้ ในระดับ 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาท
“สำหรับธุรกิจบ้านมือสองยังเป็นที่สนใจของตลาดอสังหาฯ เพราะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉลี่ยปีละ 10-15% โดยเฉพาะในช่วงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าตลาดบ้านมือสองมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากระดับ 5-7 หมื่นล้านบาท เป็นแสนล้านบาท ซึ่งความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น มาจากราคาของบ้านมือสองที่มีราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่งอย่างน้อย 10-20% รวมไปถึงภาครัฐที่ให้การสนับสนุนให้ประชาชนมีบ้านก็ช่วยกระตุ้นทำให้ตลาดบ้านมือสองเติบโต ”
ขณะเดียวกัน ก็คาดว่า จะมีเม็ดเงินเข้ามาเก็งกำไรในอสังหาฯมากขึ้น เนื่องจากคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น และการฝากเงินที่ได้อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ จะส่งให้บ้านมือสองในปีนี้ขยาย ตัว 10%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมของตลาดบ้านมือสองจะมีอัตราการเติบโตขึ้นทุกปี แต่จะโตในบางกลุ่มเท่านั้น โดยในปีนี้ตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราการเติบโตดีที่สุดประมาณ 15-20% เฉพาะคอนโดฯระดับราคา 1-3 ล้านบาท และ 15-30 ล้านบาท ในขณะที่คอนโดฯราคา 5-7 ล้านบาท กลับขายได้ยากมาก ส่วนบ้านเดี่ยวนั้นปรับตัวลดลง 10% ขณะที่ตลาดทาวน์เฮาส์ทรงตัว
สำหรับแผนการขยายตลาดของบริษัทฯนั้น จะมีการปรับโฉมแฟรนไชส์ซีรีย์สใหม่ และคาดว่าภายใน 3 ปี จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 5% โดยจะเพิ่มสาขาแฟรนไชส์ได้ 10 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่ 20 สาขา ขณะที่รูปแบบแฟรนไชส์รายบุคคล บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนสมาชิกเป็น 5,000 คนจากปัจจุบันมีอยู่ 1,635 คน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของ ERA ในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,200 ล้านบาท จากปีที่แล้วมียอดขาย 2,400 ล้านบาท และในปี 53 คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท
นายวรเดช ศิวเตชานนท์ ประธานบริหาร บริษัท อีอาร์เอ แฟรนไชส์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ERA ผู้ให้บริการซื้อ-ขาย-เช่าอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา บริษัทไม่ได้ทำการขยายแฟรนไชส์ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย แต่ในปีนี้จะเริ่มรุกตลาดอีกครั้ง เนื่องจากเมื่อใดที่มีคนตกงานจำนวนมากๆ อาชีพตัวแทนนายหน้าก็จะเริ่มกลับมาคึกคักอีกครั้ง ขณะเดียวกันเมื่อใดที่ตลาดหุ้นมีความผันผวน และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากอยู่ในระดับต่ำมากๆ จะทำให้ตลาดบ้านมือสองกลับมาคึกคักทันที โดยคาดว่าในปีนี้จะมีการขยายตัวได้ ในระดับ 10% หรือคิดเป็นมูลค่า 1 แสนล้านบาท
“สำหรับธุรกิจบ้านมือสองยังเป็นที่สนใจของตลาดอสังหาฯ เพราะมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี โดยเฉลี่ยปีละ 10-15% โดยเฉพาะในช่วงตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ถือว่าตลาดบ้านมือสองมีการเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าตัวจากระดับ 5-7 หมื่นล้านบาท เป็นแสนล้านบาท ซึ่งความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้น มาจากราคาของบ้านมือสองที่มีราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่งอย่างน้อย 10-20% รวมไปถึงภาครัฐที่ให้การสนับสนุนให้ประชาชนมีบ้านก็ช่วยกระตุ้นทำให้ตลาดบ้านมือสองเติบโต ”
ขณะเดียวกัน ก็คาดว่า จะมีเม็ดเงินเข้ามาเก็งกำไรในอสังหาฯมากขึ้น เนื่องจากคาดหวังผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น และการฝากเงินที่ได้อัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำ ปัจจัยเหล่านี้ จะส่งให้บ้านมือสองในปีนี้ขยาย ตัว 10%
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาพรวมของตลาดบ้านมือสองจะมีอัตราการเติบโตขึ้นทุกปี แต่จะโตในบางกลุ่มเท่านั้น โดยในปีนี้ตลาดคอนโดมิเนียมมีอัตราการเติบโตดีที่สุดประมาณ 15-20% เฉพาะคอนโดฯระดับราคา 1-3 ล้านบาท และ 15-30 ล้านบาท ในขณะที่คอนโดฯราคา 5-7 ล้านบาท กลับขายได้ยากมาก ส่วนบ้านเดี่ยวนั้นปรับตัวลดลง 10% ขณะที่ตลาดทาวน์เฮาส์ทรงตัว
สำหรับแผนการขยายตลาดของบริษัทฯนั้น จะมีการปรับโฉมแฟรนไชส์ซีรีย์สใหม่ และคาดว่าภายใน 3 ปี จะเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 5% โดยจะเพิ่มสาขาแฟรนไชส์ได้ 10 สาขาจากปัจจุบันมีอยู่ 20 สาขา ขณะที่รูปแบบแฟรนไชส์รายบุคคล บริษัทฯ ตั้งเป้าเพิ่มตัวแทนสมาชิกเป็น 5,000 คนจากปัจจุบันมีอยู่ 1,635 คน
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานของ ERA ในปีนี้ ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,200 ล้านบาท จากปีที่แล้วมียอดขาย 2,400 ล้านบาท และในปี 53 คาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท