หมอท็อป “บุรณัชย์” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ไม่หวั่นกระแสนักการเมืองถือหุ้นบริษัทเอกชน จับมือกลุ่มเพื่อนเปิดบริษัท “ควอด” ถือหุ้น 40% ลุยธุรกิจอสังหาฯ ยันฝ่ายกฎหมายตรวจสอบแล้วไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน ประเดิมโครงการแรก “ควอด” สีลม มูลค่า 520 ล้านบาท
นายแพทย์บุรณัชย์ สมุทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอด จำกัด (โฆษกพรรคประชาธิปัตย์) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกลุ่มเพื่อนอีก 3 คน ได้แก่ นายเสกชัย หงษ์ปาน ถือหุ้น 30%, นางเยาวรัตน์ นิรันดร ถือหุ้น 20% และนางพัชรา เจียรวนนท์ (หลานเจ้าสัวซีพี และเป็นภรรยานายวัฒนา เมืองสุข ) ถือหุ้น 10% ส่วนตนถือหุ้น 40% ทำการเปิดบริษัท ควอด จำกัด ขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท โดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างขนาด 274 ตร.ม. (ซื้อต่อจากคุณแม่เสกชัย ที่ซื้อมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ) พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม “ควอด” สีลม สูง 8 ชั้น 1 ชั้นใต้ดิน จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.9 – 12 ล้านบาท จำนวน 74 ยูนิต มูลค่า 520 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนโครงการอสังหาฯในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นจังหวะที่เหมาะสม ต้นทุนลดต่ำลง ทั้งต้นทุนก่อสร้าง ต้นทุนทางการเงิน รวมถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินมีอยู่จำนวนมาก ทำให้สามารถพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพและขายได้ในราคาที่สมเหตุสมผล
สำหรับการถือหุ้นในบริษัทเอกชน ทั้งๆที่เป็นนักการเมืองนั้น ตนได้ตรวจสอบข้อกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ใช่บริษัทที่รับสัมปทานจากภาครัฐ หรือ ธุรกิจสื่อสาร และที่สำคัญไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถตรวจสอบได้ เพราะก่อนหน้านี้ได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในบริษัท ตรีนิตี้ แอสเซ็ทส์ จำกัด โดยได้รายงานทรัพย์สินต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เรียบร้อยแล้ว ส่วนการถือหุ้น 40% ในบริษัท ควอด ก็เชื่อว่าไม่ขัดต่อข้อกฎหมายอย่างแน่นอน
นายบุรณัชย์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้แม้ยังไม่ได้เปิดขาย แต่ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 30% เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่ในย่านธุรกิจ และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไป คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้ โดยจะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ของผู้ถือหุ้นที่มีศักยภาพมาพัฒนาก่อน เพราะผู้ถือหุ้นทุกรายมีที่ดินอยู่ในมือจำนวนมาก ส่วนการดำเนินการนั้น คาดว่าจะใช้บริษัทเดิมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าเป็นความลงตัวของความสามารถของผู้ถือหุ้นทุกราย สำหรับโครงการแรก ได้มอบหมายให้ บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารงานขายให้
“เชื่อว่าเมื่อรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายกู้เงินระบบเศรษฐกิจ ไทยก็จะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาดีขึ้น และที่สำคัญธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นธุรกิจแรกๆที่ได้รับอานิสงส์”
นายแพทย์บุรณัชย์ สมุทรักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอด จำกัด (โฆษกพรรคประชาธิปัตย์) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับกลุ่มเพื่อนอีก 3 คน ได้แก่ นายเสกชัย หงษ์ปาน ถือหุ้น 30%, นางเยาวรัตน์ นิรันดร ถือหุ้น 20% และนางพัชรา เจียรวนนท์ (หลานเจ้าสัวซีพี และเป็นภรรยานายวัฒนา เมืองสุข ) ถือหุ้น 10% ส่วนตนถือหุ้น 40% ทำการเปิดบริษัท ควอด จำกัด ขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียน 180 ล้านบาท โดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างขนาด 274 ตร.ม. (ซื้อต่อจากคุณแม่เสกชัย ที่ซื้อมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เมื่อ 1 ปีที่ผ่านมา ) พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม “ควอด” สีลม สูง 8 ชั้น 1 ชั้นใต้ดิน จำนวน 74 ยูนิต ราคา 3.9 – 12 ล้านบาท จำนวน 74 ยูนิต มูลค่า 520 ล้านบาท
ทั้งนี้ การเข้าลงทุนโครงการอสังหาฯในช่วงนี้ เนื่องจากเป็นจังหวะที่เหมาะสม ต้นทุนลดต่ำลง ทั้งต้นทุนก่อสร้าง ต้นทุนทางการเงิน รวมถึงสภาพคล่องของสถาบันการเงินมีอยู่จำนวนมาก ทำให้สามารถพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพและขายได้ในราคาที่สมเหตุสมผล
สำหรับการถือหุ้นในบริษัทเอกชน ทั้งๆที่เป็นนักการเมืองนั้น ตนได้ตรวจสอบข้อกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าสามารถดำเนินการได้ เพราะไม่ใช่บริษัทที่รับสัมปทานจากภาครัฐ หรือ ธุรกิจสื่อสาร และที่สำคัญไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อน สามารถตรวจสอบได้ เพราะก่อนหน้านี้ได้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารในบริษัท ตรีนิตี้ แอสเซ็ทส์ จำกัด โดยได้รายงานทรัพย์สินต่อสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)เรียบร้อยแล้ว ส่วนการถือหุ้น 40% ในบริษัท ควอด ก็เชื่อว่าไม่ขัดต่อข้อกฎหมายอย่างแน่นอน
นายบุรณัชย์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้แม้ยังไม่ได้เปิดขาย แต่ปัจจุบันมียอดจองแล้ว 30% เนื่องจากเป็นโครงการที่อยู่ในย่านธุรกิจ และหากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะพัฒนาโครงการอื่นๆ ต่อไป คาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ภายในปลายปีนี้ โดยจะนำที่ดินสะสม(แลนด์แบงก์)ของผู้ถือหุ้นที่มีศักยภาพมาพัฒนาก่อน เพราะผู้ถือหุ้นทุกรายมีที่ดินอยู่ในมือจำนวนมาก ส่วนการดำเนินการนั้น คาดว่าจะใช้บริษัทเดิมพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะถือว่าเป็นความลงตัวของความสามารถของผู้ถือหุ้นทุกราย สำหรับโครงการแรก ได้มอบหมายให้ บริษัท ฮาริสัน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้บริหารงานขายให้
“เชื่อว่าเมื่อรัฐสภาผ่านร่างกฎหมายกู้เงินระบบเศรษฐกิจ ไทยก็จะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนตั้งแต่เดือนนี้เป็นต้นไป ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาดีขึ้น และที่สำคัญธุรกิจอสังหาฯ จะเป็นธุรกิจแรกๆที่ได้รับอานิสงส์”