บอร์ดไอเอ็มเอฟ คาดการณ์ GDP ของไทยปี 52 อาจหดตัว 3% จากการส่งออกที่ลดลงมาก และอุปสงค์ภายในที่ชะลอลงต่อเนื่อง รวมทั้ง ศก.ที่ยังมีความเสี่ยงทางด้านลบในระยะใกล้นี้อยู่มาก พร้อมระบุ การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภค ขึ้นอยู่กับเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสำคัญ
มีรายงานข่าวว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยข้อมูลว่า คณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ประชุมสรุปการทบทวนภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยตามพันธะข้อ 4 เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งคณะกรรมการได้ประเมินเศรษฐกิจไทยปี 2552 จะหดตัว 3.0% หากสถานการณ์ทางการเมืองมีเสถียรภาพ ประกอบกับการใช้นโยบายการคลังสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งนับเป็นการหดตัวเป็นครั้งแรกภายหลังจากวิกฤตการเงินเอเชีย จากการส่งออกที่ลดลงมาก และอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอลงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเศรษฐกิจยังมีความเสี่ยงทางด้านลบในระยะใกล้นี้อยู่มาก
อย่างไรก็ดี พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่งจากนโยบายเศรษฐกิจมหภาคที่ได้ดำเนินการมาอย่างระมัดระวังในอดีต และสถาบันการเงินที่มีความเข้มแข็ง ซึ่งการที่เศรษฐกิจจะสามารถกลับฟื้นตัวไปสู่การขยายตัวได้อย่างยั่งยืนนั้น มาตรการของภาครัฐจะต้องดำเนินการได้ทันที เพื่อกระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ โดยที่การฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนและผู้บริโภคจะขึ้นกับเสถียรภาพทางการเมืองเป็นสำคัญ
ทั้งนี้ คณะกรรมการไอเอ็มเอฟ พิจารณาเห็นว่า ภาครัฐยังสามารถที่จะดำเนินมาตรการทางการคลังได้เพิ่มเติม และเห็นว่า การขาดดุลการคลังและหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้นมีความเหมาะสมในแง่พยุงเศรษฐกิจในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอลง
นอกจากนี้ คณะกรรมการยังสนับสนุนการเพิ่มเพดานการกู้เงินชั่วคราว เพื่อให้สามารถดูแลการขาดดุลการคลังภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันได้ ซึ่งภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันการดำเนินนโยบายต้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว รวมถึงต้องเห็นความสำคัญของงบเงินโอน และเงินอุดหนุนที่มุ่งให้ความช่วยเหลือกลุ่มมีรายได้น้อย และให้กลไกสร้างเสถียรภาพโดยอัตโนมัติทางด้านการคลัง และมีบทบาทในการช่วยให้เศรษฐกิจปรับตัวไปสู่สมดุลได้อย่างเต็มที่
