xs
xsm
sm
md
lg

พฤกษาดึง“เมธา”เสริมทัพ ลั่นปีนี้ขึ้นแท่นเบอร์1อสังหาฯ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“พฤกษา” ดึง “เมธา จันทร์แจ่มจรัส” ผู้บริหารเก่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เล็งลุยตลาดที่อยู่อาศัยทุกเซกเมนท์ ระบุม็อบแดงป่วนเมืองฉุดความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขอดูสถานการณ์และประเมินผลอีก 1 เดือนก่อนเดินหน้าลุยตลาดต่อ เผยยอดขายไตรมาส 1 ทะลุเป้า 4,050 ล้านบาท ยอดโอน 3,800 ล้านบาท เชื่อสิ้นปีนี้ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ของธุรกิจอสังหาฯแน่นอน

จากกระแสข่าวที่ว่านาย เมธา จันทร์แจ่มจรัส อดีตประธานอำนวยการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ในเครือบริษัทแสนสิริจำกัด (มหาชน) มาร่วมงาน ซึ่งนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงกรณีดังกล่าวว่า บริษัทได้ทาบทามนายเมธา ให้มาร่วมงานกับบริษัทมาปีกว่าแล้ว (ก่อนหน้าที่พลัสจะประสบปัญหาโครงการคอนโดวันไม่ผ่านการอนุมัติสิ่งแวดล้อม (สวล.) จนเป็นเหตุให้ต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 400 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงและเป็นเหตุให้แสนสิริบริษัทแม่ ดึงพลัสกลับไปบริหารเอง) จนในที่สุดนายเมธาได้ตัดสินใจมาร่วมงานกับบริษัทโดยจะเริ่มงานในวันที่ 1 พ.ค.นี้ ส่วนจะเข้ามารับผิดชอบในเรื่องใดนั้น ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ ซึ่งการที่บริษัทได้ขยายการเติบโตและรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในทุกเซ็กเมนต์ที่มีช่องว่างของตลาด จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะต้องการผู้ที่มีความสามารถเข้ามาร่วมงานจำนวนมาก

ซึ่งก่อนหน้านี้ พฤกษาฯ ได้ดึงผู้บริหารมือดี “นางวรรณา ชัยสุพัฒนากุล” อดีตผู้บริหารจากบริษัท แผ่นดินทองฯ พร้อมทีมการตลาดครบชุด เข้ามารับภารกิจปั้นแบรนด์ IVY, นางอรนุช อิติโกศล อดีตผู้อำนวยการอาวุโส จากบริษัท อารียา พร็อพเพอร์ตี้ฯ หนึ่งในผู้ปลุกปั้นแบรนด์ “A Space” เข้ามาดูแลแบรนด์ The Seed ให้ติดตลาดนอกจากนี้ ยังดึงนายพรเทพ พิพัฒน์ทั้งสกุล อดีตผู้อำนวยการฝ่ายโครงการบ้าน บริษัท คาซ่า วิลล์ จำกัด เข้ามาดูแลบ้านเดี่ยว “พฤกษา วิลเลจ” หลังจากเป็นหัวหอกในการปั้นแบรนด์คาซ่าจนประสบความสำเร็จ และมีส่วนทำให้ควอลิตี้ เฮ้าส์ (QH) บริษัทแม่มีการเติบโตอย่างมากในปี 2550 จนกระทั้งล่าสุด นายเมธา จันทร์แจ่มจรัส ที่เป็นผู้ปลุกปั้นคอนโดฯแบรนด์ “คอนโด วัน” และ “มาย คอนโด” และสร้างแบรนด์ทาวน์เฮาส์กลางเมืองอย่าง “ทาวน์ พลัส” และ “พลัส ซิตี้ พาร์ค” จนทำให้เจ้าตลาดบ้านกลางเมืองอย่างบริษัทเอเชี่ยน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หนาวๆ ร้อนๆ มาแล้ว

ทั้งหมดนี้ เป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้แก่พฤกษา เพื่อก้าวสู่เป้าหมายผู้นำอันดับหนึ่ง ทั้งยอดขายและรายได้ของธุรกิจอสังหาฯที่เคยได้ประกาศเอาไว้ ทั้งนี้ หากจำกันได้เมื่อวันที่ 9 มกราคม 2550 นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัทพฤกษาฯ แถลงแผนดำเนินงานประจำปีต่อนักวิเคราะห์หลักทรัพย์และสื่อมวลชน ที่จะก้าวสู่ความเป็นผู้นำธุรกิจอสังหาฯของไทยภายในปี 2553 ล้มแชมป์บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ครองแชมป์อันดับ 1 มาอย่างยาวนาน

ซึ่งขณะนั้นเมื่อพิจารณาจากผลดำเนินงานในปี 2549 พฤกษาฯ มีรายได้รวมเพียง 8,203 ล้านบาท กำไรสุทธิ 1,303 ล้านบาท ขณะที่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ มีรายได้รวมอยู่ที่ 19,552 ล้านบาทและกำไรสุทธิ 3,247 ล้านบาท ทิ้งห่างกว่าเท่าตัว จนทำให้ทุกคนจับตามองว่าพฤกษาจะก้าวไปสู่เป้าหมายได้ในระยะเวลาเพียง 3 ปีได้อย่างไร

อย่างไรก็ดี นับจากวันนั้นเป็นต้นมาการขยายธุรกิจแบบก้าวกระโดดของพฤกษา นับว่าเป็นที่น่าจับตามาองเป็นอย่างมาก เพราะในแต่ละปีพฤกษาได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพทั้งในเรื่องของการขยายธุรกิจที่สะท้อนออกมาในด้านยอดขายและรายได้ รวมไปถึงการปรับภาพลักษณ์องค์กร สินค้าจนแทบจะไม่เหลือเค้าของผู้ประกอบการย่านชานเมืองอีกต่อไป

นายประเสริฐกล่าวว่า พฤกษาจะขึ้นแท่นเบอร์หนึ่งของธุรกิจอสังหาฯ เมืองไทยได้ในสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน เร็วกว่าที่ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ 1 ปี แม้ว่าในปีตลาดจะมีความผันผวนจากความไม่สงบทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจโลกที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็ตาม ซึ่งบริษัทมั่นใจว่าจะสามารถรักษารายได้ไว้ได้ตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ เพราะสินค้าของพฤกษาทุกประเภททำเลเจาะลึกถึงกลุ่มผู้บริโภค ราคาโดนใจ นอกจากนี้ การพัฒนาโครงการขนาดเล็กลงพื้นที่ตามทำเลหรือซอยที่เชื่อว่ามีกลุ่มลูกค้าทำให้ยังทำให้ปิดโครงการได้เร็วและสามารถแทรกซึมไปทุกซอกทุกมุม สินค้าของพฤกษามีตั้ง บ้านเดี่ยว, ทาวน์เฮาส์, คอโดฯ ส่วนระดับราคาไม่ต้องพูดถึงมีตั้งแต่ถูกต่อกว่า 1 ล้านบาท บ้านบีโอไอ ไปจนถึงบ้าน ทาวน์เฮาส์ และคอนโดฯหรู

นอกจากการรุกตลาดในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลแล้ว พฤกษายังมีแผนที่จะขยายไปสู่ตลาดต่างจังหวัดตามหัวเมืองสำคัญ อาทิ พัทยา เชียงใหม่ ภูเก็ต ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นในเร็วนี้ จากที่ก่อนหน้านี้บุกตลาดต่างประเทศโดยเริ่มที่อินเดียเป็นประเทศแรก ประเดิมโครงการแรกที่บังกาลอร์ และจะมีประเทศอื่นๆตามมา

ที่ผ่านมาพฤกษาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ความฝันนั้นอยู่ใกล้แค่เอื้อม เมื่อพิจารณาจากรายได้ในปี 51 ที่ผ่านมา แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ที่ครองแชมป์อันดับหนึ่งมีรายได้เพียง 15,410 ล้านบาท ลดลงอย่างมากเมื่อเทียบกับปี 2550 ที่มีรายได้สูงถึง 19,837 ล้านบาท ส่วนอันดับ 2 บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่มีรายได้ 15,177 ล้านบาท ขณะที่ในปี 2551 พฤกษามีรายได้ 13,034 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ในปี 2552 สูงถึง 17,000 ล้านบาท แถมมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็กล็อค)อยู่ในมือแล้ว 10,000 ล้านบาท และในไตรมาส 1 ปี 2552 พฤกษามียอดขาย 4,050 ล้านบาท และมียอดโอนบ้าน 3,800 ล้านบาท แถมยังตั้งเป้ารายได้ในปี 2552 ไว้ที่ 17,000 ล้านบาท ขณะที่แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ตั้งเป้าโตเท่าเดิม นั้นก็หมายถึงว่ารายได้ของพฤกษาแซงหน้าแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ไปโดยปริยาย

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น ต้องมาดูกันว่าท้ายสุดแล้วสิ้นปี 2552 พฤกษาจะสร้างยอดขายได้ตามเป้าที่วางไว้หรือไม่ และแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จะสามารถสร้างยอดขายขึ้นไปสูงกว่าเป้าที่วางไว้หรือไม่ และพฤกษาต้องไม่ประมาทแชมป์อันดับ 2 อย่างแสนสิริ ที่สร้างรายได้ในไตรมาส 1 ปีนี้สูงถึง 6,100 ล้านบาท ส่วนเป้าทั้งปีตั้งไว้ที่ 17,000 ล้านบาท เท่ากับพฤกษา และที่สำคัญแสนสิริมีแบ็กล็อคที่สามารถรับรู้รายได้ในปีนี้ตุนอยู่ในมือแล้วสูงถึง 12,600 ล้านบาท จากทั้งหมด 18,500 ล้านบาท นับเป็นซุงท่อนใหญ่ที่พฤกษาไม่ควรจะมองข้ามหากต้องการขึ้นเป็นเบอร์ 1

ปัจจุบันพฤกษาฯ มี SBU (Strategic Business Unit) หรือหน่วยธุรกิจเชิงกลยุทธ์ รวม 7 SBU ได้แก่ ทาวน์เฮาส์, บ้านเดี่ยวแบรนด์ “ภัสสร”, บ้านเดี่ยวแบรนด์ “พฤกษา วิลเลจ”, คอนโดมิเนียม 1 (IVY, City Ville และ The Tree), คอนโดมิเนียม 2 (The Seed) ทาวน์เฮาส์แบรนด์ The Plant และล่าสุด The Plant City ทาวน์เฮาส์ในเมืองรูปแบบใหม่ ราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท ประเดิมโครงกาแรกที่ ซ.ลาดพร้าว 71 จำนวน 197 ยูนิต เปิดตัวเพียง 2 สัปดาห์มียอดขายแล้ว 50%, โรงงาน Precast และบริษัทรับเหมาก่อสร้าง ในนาม “บริษัท เกสร ก่อสร้าง จำกัด” ซึ่งในอนาคตจะมีหน่วยใหม่เพิ่ม เพื่อดูแลตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะ คือ อินเดียและเวียดนาม ที่พฤกษาฯ มีแผนจะลงทุน

นายประเสริฐ กล่าวอีกว่า สำหรับภาวะตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ในช่วงไตรมาส 1 ตลาดมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้นมาก จนทำให้บริษัทมีแผนที่จะปรับเป้าหมายการดำเนินงานใหม่ โดยจะรุกตลาดเพิ่มขึ้นหลังจากช่วงวันหยุดสงกรานต์สิ้นสุดลง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ก่อจลาจลของกลุ่มคนเสื้อแดงยอมรับว่ามีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะสั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ประกอบกับในเดือนเมษายนเป็นเดือนที่มีวันหยุดยาว ทำให้ไม่สามารถสามารถระบุได้ว่าผลกระทบมากน้อยเพียงใด ดังนั้นบริษัทจึงต้องการรอดูสถานการณ์ตลาดในเดือนพฤษภาคมอีก 1 เดือนเพื่อประเมินสถานการณ์ว่าปรับแผนธุรกิจใหม่ด้วยการรุกตลาดหรือไม่

“เมื่อเราเห็นยอดขายในช่วงไตรมาส 1 ออกมาดีมากทำให้เราเชื่อว่ากลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ ทำให้มีแผนที่จะเหยียบคันเร่งให้ไปเร็วขึ้น แต่พอเกิดการก่อจลาจลของคนเสื้อแดง เราต้องมาทบทวนใหม่ว่าจะเหยียบคันเร่งต่อดีหรือไม่ แต่จะไม่ลดเป้าลงแน่นอนเพราะเชื่อว่าเราเดินมาถูกทางแล้ว”
กำลังโหลดความคิดเห็น