เศรษฐกิจปีวัวดุสุดหิน “โรบินสัน” บ่นเหนื่อยสุดหลังกระโดดลงสมรภูมิห้าง ต้องเลื่อนผุดสาขาเชียงรายออกไป ยากที่จะฟันธงทั้งปีขอรักษาผลประกอบการให้ได้เท่าปีก่อน เดินหน้าเทอีก 1,360 ล้านบาท ขยายเพิ่ม 2 สาขา จากความสำเร็จปีก่อนยอดขายกำไรสุทธิโตสูงสุดในรอบ 30 ปีที่ 30% คิดเป็นมูลค่าที่ 1,020 ล้านบาท ส่วนยอดขายปีก่อนโตกว่า 10% คิดเป็นมูลค่าถึง 12,417 ล้านบาท
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจปีนี้ ยอมรับว่า ประเมินยากที่สุด ขณะเดียวกันถือเป็นปีที่ทำงานเหนื่อยที่สุดเช่นเดียวกัน ในภาวะที่ผู้บริโภคไม่มั่นใจ และชะลอการใช้จ่ายเงินลง บริษัทยิ่งต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น และต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อยังคงรักษาระดับยอดขายไว้ให้ได้ ในปีนี้จะยังคงใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ภายใต้แผน Robinson's Revolution Focus ส่งผลให้ยอดขายในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.เฉลี่ยแล้วยอดขายยังถือว่าใช้ได้ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในช่วงดังกล่าวจะแย่กว่าที่ทางบริษัทประเมินไว้ก็ตาม คาดว่า หลังผ่านไตรมาส 1 ไปแล้ว น่าจะสามารถประเมิณสถานการณ์และยอดขายได้ในปีนี้ แต่เชื่อว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถทำยอดขายโตได้ 10% แต่อย่างน้อยก็น่าจะโตมากกว่าจีดีพีของประเทศ
ทั้งนี้ ในส่วนของการขยายสาขา จากแผนเดิมที่จะมีการขยายสาขาที่ จ.เชียงราย ร่วมกับทางซีพีเอ็น จากแผนเดิมจะเปิดให้บริการได้ช่วงปลายปี 2553 แล้วเลื่อนมาเป็นปลายปีนี้ ต้องมีการเลื่อนออกไปอีกครั้ง โดยอาจจะเปิดให้บริการได้ที่ปลายปี 2553 หรือต้นปี 2554 ตามเดิม เนื่องจากพบว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทั้งที่ตามแผนได้สรุปออกมาเรียบร้อยแล้ว หากได้ข้อตกลงใหม่อีกครั้ง ก็สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในปี 2551 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบ 30 ปี โดยเฉพาะในเรื่องของกำไรสุทธิจากการดำเนินการปกติเติบโตขึ้นถึง 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท ขณะที่รายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยรวมกันแล้วมีกว่า 13,723 ล้านบาท เป็นรายได้จากยอดขายเพิ่มขึ้น 1,132 ล้านบาท หรือสามารถทำยอดขายได้ถึง 12,417 ล้านบาท โตขึ้น 10% ขณะที่ปี 2550 ยอดขายโตเพียง 4.4% คิดเป็นมูลค่าที่ 11,285 ล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ การเมืองและราคาน้ำมัน โดยสาเหตุที่ทำให้กำไรสูงขึ้นนั้น ส่วนสำคัญมาจากการควบคุมค่าใช้จ่าย ที่โตขึ้นเพียง 3.7% คิดเป็น 2,926 ล้านบาท จากปี 2551 ใช้ไป 2,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% และเมื่อรวมสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทแล้ว ปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 9,666 ล้านบาท มีหนี้สินลดลงเหลือ 3,418 ล้านบาท โดยเป็นการค้างชำระกับทางซัปพลายเออร์เป็นส่วนใหญ่
สำหรับการทพำตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้น แผน Robinson's Revolution Focus เช่นปีที่ผ่านมา แต่จะโฟกัสใน 3 ส่วนหลักๆ คือ 1.สินค้า จะเน้นสินค้าที่เอ็กซ์คลูซีฟ มีจำหน่ายเฉพาะโรบินสันเพิ่มขึ้น 2.การตลาด จะนำข้อมูลจากฐานลูกค้าเดิมมาปรับใช้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงกลยุทธ์โลคอลอีเวนต์ ที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคบริเวณนั้นๆ และ 3.การบริการ จะต้องประทับใจเพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาใช้บริการในครั้งต่อๆ ไป ภายใต้งบการตลาดที่ใช้ประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนขยายสาขา ตามแผนการลงทุนจะพยายามขยายให้ได้อย่างน้อยปีละไม่ต่ำกว่า 2 สาขา ซึ่งในปีนี้เตรียมเม็ดเงินไว้ถึง 1,360 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,100 ล้านบาท สำหรับขยายเพิ่ม 2 สาขา คือ ชลบุรี และ ขอนแก่น เป็นการเช่าพื้นที่ของเซ็นทรัลพลาซา ที่จะเปิด และที่เหลืออีก 260 ล้านบาท เป็นการรีโนเวตสาขาเดิมในบางสาขาให้ทันสมัยมากขึ้น
นายปรีชา กล่าวถึงเช็คช่วยชาติ ด้วยว่า ทางบริษัทกำลังเตรียมแผนการตลาดไว้รองรับเช่นเดียวกัน โดยจะมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าเช็คมากกว่าที่กำหนดไว้ โดยจะต้องใช้ได้สะดวกที่สุด
นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจปีนี้ ยอมรับว่า ประเมินยากที่สุด ขณะเดียวกันถือเป็นปีที่ทำงานเหนื่อยที่สุดเช่นเดียวกัน ในภาวะที่ผู้บริโภคไม่มั่นใจ และชะลอการใช้จ่ายเงินลง บริษัทยิ่งต้องทำงานหนักมากยิ่งขึ้น และต้องบริหารจัดการให้ดี เพื่อยังคงรักษาระดับยอดขายไว้ให้ได้ ในปีนี้จะยังคงใช้กลยุทธ์ทางการตลาด ภายใต้แผน Robinson's Revolution Focus ส่งผลให้ยอดขายในช่วงเดือน ม.ค.-ก.พ.เฉลี่ยแล้วยอดขายยังถือว่าใช้ได้ ถึงแม้ว่าสถานการณ์ในช่วงดังกล่าวจะแย่กว่าที่ทางบริษัทประเมินไว้ก็ตาม คาดว่า หลังผ่านไตรมาส 1 ไปแล้ว น่าจะสามารถประเมิณสถานการณ์และยอดขายได้ในปีนี้ แต่เชื่อว่าอย่างไรก็คงไม่สามารถทำยอดขายโตได้ 10% แต่อย่างน้อยก็น่าจะโตมากกว่าจีดีพีของประเทศ
ทั้งนี้ ในส่วนของการขยายสาขา จากแผนเดิมที่จะมีการขยายสาขาที่ จ.เชียงราย ร่วมกับทางซีพีเอ็น จากแผนเดิมจะเปิดให้บริการได้ช่วงปลายปี 2553 แล้วเลื่อนมาเป็นปลายปีนี้ ต้องมีการเลื่อนออกไปอีกครั้ง โดยอาจจะเปิดให้บริการได้ที่ปลายปี 2553 หรือต้นปี 2554 ตามเดิม เนื่องจากพบว่าค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทั้งที่ตามแผนได้สรุปออกมาเรียบร้อยแล้ว หากได้ข้อตกลงใหม่อีกครั้ง ก็สามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการในปี 2551 ที่ผ่านมา ถือเป็นปีที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในรอบ 30 ปี โดยเฉพาะในเรื่องของกำไรสุทธิจากการดำเนินการปกติเติบโตขึ้นถึง 30% คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,020 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 156 ล้านบาท ขณะที่รายได้ของบริษัทและบริษัทย่อยรวมกันแล้วมีกว่า 13,723 ล้านบาท เป็นรายได้จากยอดขายเพิ่มขึ้น 1,132 ล้านบาท หรือสามารถทำยอดขายได้ถึง 12,417 ล้านบาท โตขึ้น 10% ขณะที่ปี 2550 ยอดขายโตเพียง 4.4% คิดเป็นมูลค่าที่ 11,285 ล้านบาท เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจ การเมืองและราคาน้ำมัน โดยสาเหตุที่ทำให้กำไรสูงขึ้นนั้น ส่วนสำคัญมาจากการควบคุมค่าใช้จ่าย ที่โตขึ้นเพียง 3.7% คิดเป็น 2,926 ล้านบาท จากปี 2551 ใช้ไป 2,821 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.4% และเมื่อรวมสินทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทแล้ว ปีที่ผ่านมามีมูลค่าถึง 9,666 ล้านบาท มีหนี้สินลดลงเหลือ 3,418 ล้านบาท โดยเป็นการค้างชำระกับทางซัปพลายเออร์เป็นส่วนใหญ่
สำหรับการทพำตลาดในปีนี้ บริษัทจะเน้น แผน Robinson's Revolution Focus เช่นปีที่ผ่านมา แต่จะโฟกัสใน 3 ส่วนหลักๆ คือ 1.สินค้า จะเน้นสินค้าที่เอ็กซ์คลูซีฟ มีจำหน่ายเฉพาะโรบินสันเพิ่มขึ้น 2.การตลาด จะนำข้อมูลจากฐานลูกค้าเดิมมาปรับใช้ เพื่อให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น รวมถึงกลยุทธ์โลคอลอีเวนต์ ที่จะแตกต่างกันไปในแต่ละสาขา ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคบริเวณนั้นๆ และ 3.การบริการ จะต้องประทับใจเพื่อดึงลูกค้าให้กลับมาใช้บริการในครั้งต่อๆ ไป ภายใต้งบการตลาดที่ใช้ประมาณ 300 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในส่วนของการลงทุนขยายสาขา ตามแผนการลงทุนจะพยายามขยายให้ได้อย่างน้อยปีละไม่ต่ำกว่า 2 สาขา ซึ่งในปีนี้เตรียมเม็ดเงินไว้ถึง 1,360 ล้านบาท แบ่งเป็น 1,100 ล้านบาท สำหรับขยายเพิ่ม 2 สาขา คือ ชลบุรี และ ขอนแก่น เป็นการเช่าพื้นที่ของเซ็นทรัลพลาซา ที่จะเปิด และที่เหลืออีก 260 ล้านบาท เป็นการรีโนเวตสาขาเดิมในบางสาขาให้ทันสมัยมากขึ้น
นายปรีชา กล่าวถึงเช็คช่วยชาติ ด้วยว่า ทางบริษัทกำลังเตรียมแผนการตลาดไว้รองรับเช่นเดียวกัน โดยจะมุ่งเน้นการเพิ่มมูลค่าเช็คมากกว่าที่กำหนดไว้ โดยจะต้องใช้ได้สะดวกที่สุด