พรีเมียร์ เทคโนโลยี ยอมรับปีหน้าได้รับผลกระทบ ธุรกิจไอทีปีหน้าซบ จากภาวะเศรษฐกิจโลก บริษัทลดค่าใช้จ่ายไอที เตรียมเน้นการให้บริการมากขึ้นจากยอดขายสินค้าหด รอประเมินลูกค้าญี่ปุ่นตอบรับบริการบริษัทมากน้อยแค่ไหน
นายวิวัฒน์ พงศธร กรรมการผู้จัดการบริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PT เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจไอทีปีหน้าชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกทำให้บางบริษัทมีลดค่าใช้จ่ายทางได้ระบบไอทีลง ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบบ้างในด้านยอดขายสินค้า ฮาร์ตแวร์ และซอฟท์แวร์ลง แต่บริษัทจะมีรายได้ทางด้านการบริการทางด้านไอทีกับทางบริษัทเอกชน เข้ามามากขึ้น จากที่บริษัทมีการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และบริษัทได้มีการทำสัญญาให้บริการเป็นระยะยาว 3-5 ปี
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ในการขายสินค้าประมาณ 80% และอีก 20% เป็นรายได้ในการให้บริการ ซึ่งในปีหน้าบริษัทจะพยายามให้สัดส่วนรายได้การให้บริการเพิ่มขึ้น และจากการที่บริษัทได้ร่วมทุนกับNippon Unica Systems Co., Ltd. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนซึ่งจะให้บริการในการพัฒนาซอฟแวร์ให้กับลูกค้าญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยมูลค่าตลาดไอทีที่ประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าถึง 4.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมาก
ดังนั้นจึงทำให้บริษัทมีรายได้จากบริษัทร่วมทุนเข้ามาเสริมแต่จะเข้ามาเสริมและจะมีรายได้เท่าไรนั้นยังไม่สามารถประเมินได้เพราะ ต้องรอให้บริษัทดังกล่าวมีการดำเนินงานประมาณ 3-6 เดือนจริงประเมินได้ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ครึ่งปีหลัง
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15-20% จากปี2550 ที่มีรายได้รวม 1,500 ล้านบาท ซึ่ง 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้รวม 1,128 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น และรายได้ในการให้บริการที่มากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานปีหน้าของบริษัทนั้นยังไม่สามารถตอบได้เพราะ อยู่ระหว่างการทำแผน
ทั้งนี้จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงนั้นตามทิศทางหุ้นทั้งตลาดที่ปรับตัวลดลง แต่ถือว่าหุ้นน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน เพราะ บริษัทมีกำไรที่ดี แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายที่จะมีการซื้อหุ้นคืนเพราะ ต้องรอให้คณะกรรมการมีการพิจารณาก่อน
นายวิวัฒน์ พงศธร กรรมการผู้จัดการบริษัท พรีเมียร์ เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PT เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจไอทีปีหน้าชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลกทำให้บางบริษัทมีลดค่าใช้จ่ายทางได้ระบบไอทีลง ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบบ้างในด้านยอดขายสินค้า ฮาร์ตแวร์ และซอฟท์แวร์ลง แต่บริษัทจะมีรายได้ทางด้านการบริการทางด้านไอทีกับทางบริษัทเอกชน เข้ามามากขึ้น จากที่บริษัทมีการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น และบริษัทได้มีการทำสัญญาให้บริการเป็นระยะยาว 3-5 ปี
ทั้งนี้ บริษัทมีรายได้ในการขายสินค้าประมาณ 80% และอีก 20% เป็นรายได้ในการให้บริการ ซึ่งในปีหน้าบริษัทจะพยายามให้สัดส่วนรายได้การให้บริการเพิ่มขึ้น และจากการที่บริษัทได้ร่วมทุนกับNippon Unica Systems Co., Ltd. ในการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนซึ่งจะให้บริการในการพัฒนาซอฟแวร์ให้กับลูกค้าญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศญี่ปุ่นและบริษัทญี่ปุ่นที่อยู่ในประเทศไทย โดยมูลค่าตลาดไอทีที่ประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าถึง 4.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งถือว่าสูงมาก
ดังนั้นจึงทำให้บริษัทมีรายได้จากบริษัทร่วมทุนเข้ามาเสริมแต่จะเข้ามาเสริมและจะมีรายได้เท่าไรนั้นยังไม่สามารถประเมินได้เพราะ ต้องรอให้บริษัทดังกล่าวมีการดำเนินงานประมาณ 3-6 เดือนจริงประเมินได้ ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ครึ่งปีหลัง
นายวิวัฒน์ กล่าวว่า บริษัทคาดว่ารายได้ปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15-20% จากปี2550 ที่มีรายได้รวม 1,500 ล้านบาท ซึ่ง 9 เดือนแรกบริษัทมีรายได้รวม 1,128 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อน เพราะ ยอดขายที่เพิ่มขึ้น และรายได้ในการให้บริการที่มากขึ้น ส่วนผลการดำเนินงานปีหน้าของบริษัทนั้นยังไม่สามารถตอบได้เพราะ อยู่ระหว่างการทำแผน
ทั้งนี้จากการที่ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงนั้นตามทิศทางหุ้นทั้งตลาดที่ปรับตัวลดลง แต่ถือว่าหุ้นน่าสนใจที่จะเข้าไปลงทุน เพราะ บริษัทมีกำไรที่ดี แต่ขณะนี้บริษัทยังไม่มีนโยบายที่จะมีการซื้อหุ้นคืนเพราะ ต้องรอให้คณะกรรมการมีการพิจารณาก่อน
