RCL ขาดทุนกว่า 440 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 172 % ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 608 ล้านบาท ผลจากขาดทุนจากการแปลงค่าเงินและการลดลงของอัตราค่าระวาง รวมทั้งต้นทุนราคาน้ำมันสูงที่สูงขึ้น ขณะที่ปริมาณส่งออกลดลง เนื่องจากการปิดโรงงานของจีนในช่วงกีฬาโอลิมปิก และปริมาณความต้องการที่ลดลงของการค้าในเส้นทางตะวันออกตะวันตก
นายสุเมธ ตันธุวนิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) ( RCL ) แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปีนี้ว่า บริษัทมีผลขทดทุนสุทธิ 440.47 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 608.16 ล้านบาท หรือขาดทุน 172.43% เนื่องจาก ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า 80 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทำให้ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้น เป็น 5,102.0 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตรา 21 % และเป็นสาเหตุหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของไตรมาส 3 ปี 51 ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามจำนวนตู้และจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้นเป็น 13,861.9 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 15 %
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3 ปี 51 กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 142.0 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 95.3 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปีบริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 74.2 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ 143.5 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ในไตรมาสที่ 3 ของปี 51 รายได้รวมก่อนผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการ ขายทรัพย์สินมี 5,275.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 % รายได้ส่วนเพิ่มขึ้นจากจำนวนตู้ที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 6 % เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบขาดทุนจากการแปลงค่าอัตราแลกเปลี่ยนและการลดลงของอัตราค่าระวางในไตรมาสที่ 3 ปี 51 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน บริษัทมีรายได้เป็นเงินสกุลเงินเหรียญสหรัฐอเมริกา ขณะที่การรายงานเป็นสกุลเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญของสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในอัตรา 1 % เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลเหรียญสหรัฐอเมริกา การเพิ่มขึ้นของการขนส่งตู้สินค้าประเภทคู่ค้ากับสายเรือใหญ่ในปริมาณที่มากกว่าการขนส่งตู้สินค้าประเภทที่กลุ่มดำเนินการเองนี้ ส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้เฉลี่ยต่อตู้ สำหรับงวดเก้าเดือนแรกบริษัทฯมีรายได้ก่อนผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการขายทรัพย์สินเป็น 15,064.0 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลจากผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจสายเดินเรือ ปัจจัยแรกคือราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในเดือนกรกฎาคมและยังคงราคาต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไตรมาสและในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ปกติแล้วมีปริมาณธุรกิจสูงแต่การส่งออกกลับลดลง เนื่องจากการปิดโรงงานของจีนในช่วงกีฬาโอลิมปิก และจากปริมาณความต้องการที่ลดลงของการค้าในเส้นทางตะวันออกตะวันตกและอย่างสุดท้ายจากการเพิ่มความระมัดระวังของธนาคารต่างๆในการปล่อยสินเชื่อทำให้ปริมาณสินค้าลดลงซึ่งไม่สามารถชดเชยได้จากการปรับราคาค่าระวางเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ไตรมาสที่ 3 ปี 51บริษัท ฯ มีผลขาดทุนก่อนอัตราแลกเปลี่ยน 298.5 ล้านบาทและบริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็น142 ล้านบาท รวมผลขาดทุนเป็น 440.5 ล้านบาท
แม้ว่าจำนวนการขนส่งตู้สินค้าของกลุ่มบริษัทยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็น้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่มีปริมาณสูงสุด การขนส่งตู้สินค้าประเภทคู่ค้ากับสายเรือใหญ่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น402,251 ตู้ คิดเป็นการเพิ่ม 8 %เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีก่อนขณะที่การขนส่งตู้สินค้าประเภทที่กลุ่มดำเนินการเองมีจำนวนตู้เพิ่มเป็น 362,545 ตู้ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ในปีก่อน ทำให้ยอดรวมของการขนส่งตู้สินค้าของกลุ่มบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น764,796 ตู้ คิดเป็นการเพิ่ม 6 %เมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาสที่ 3 ปี 50
นายสุเมธ ตันธุวนิตย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) ( RCL ) แจ้งงบการเงินไตรมาส 3 ปีนี้ว่า บริษัทมีผลขทดทุนสุทธิ 440.47 ล้านบาท ขณะที่งวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 608.16 ล้านบาท หรือขาดทุน 172.43% เนื่องจาก ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงกว่า 80 % เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนทำให้ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้น เป็น 5,102.0 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้นในอัตรา 21 % และเป็นสาเหตุหลัก ที่ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของไตรมาส 3 ปี 51 ขณะที่ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ยังคงเป็นไปตามจำนวนตู้และจำนวนเรือที่เพิ่มขึ้น สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปี ต้นทุนการเดินเรือเพิ่มขึ้นเป็น 13,861.9 ล้านบาท คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 15 %
นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 3 ปี 51 กลุ่มบริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็น 142.0 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 95.3 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกของปีบริษัทมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 74.2 ล้านบาทเมื่อเปรียบเทียบกับ 143.5 ล้านบาท ในงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ในไตรมาสที่ 3 ของปี 51 รายได้รวมก่อนผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการ ขายทรัพย์สินมี 5,275.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2 % รายได้ส่วนเพิ่มขึ้นจากจำนวนตู้ที่เพิ่มขึ้นในอัตรา 6 % เป็นการเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับผลกระทบขาดทุนจากการแปลงค่าอัตราแลกเปลี่ยนและการลดลงของอัตราค่าระวางในไตรมาสที่ 3 ปี 51 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน บริษัทมีรายได้เป็นเงินสกุลเงินเหรียญสหรัฐอเมริกา ขณะที่การรายงานเป็นสกุลเงินบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากการอ่อนค่าของเงินเหรียญของสหรัฐอเมริกาเมื่อเทียบกับสกุลเงินในภูมิภาค ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นในอัตรา 1 % เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลเหรียญสหรัฐอเมริกา การเพิ่มขึ้นของการขนส่งตู้สินค้าประเภทคู่ค้ากับสายเรือใหญ่ในปริมาณที่มากกว่าการขนส่งตู้สินค้าประเภทที่กลุ่มดำเนินการเองนี้ ส่งผลกระทบในทางลบต่อรายได้เฉลี่ยต่อตู้ สำหรับงวดเก้าเดือนแรกบริษัทฯมีรายได้ก่อนผลต่างจากอัตราแลกเปลี่ยนและกำไรจากการขายทรัพย์สินเป็น 15,064.0 ล้านบาท
ทั้งนี้ เป็นผลจากผลงานไตรมาส 3 ปีนี้ เป็นอุปสรรคต่อการดำเนินธุรกิจสายเดินเรือ ปัจจัยแรกคือราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงที่สุดในเดือนกรกฎาคมและยังคงราคาต่อไปเรื่อยๆ ตลอดไตรมาสและในช่วงไตรมาสที่ 3 ซึ่งเป็นช่วงที่ปกติแล้วมีปริมาณธุรกิจสูงแต่การส่งออกกลับลดลง เนื่องจากการปิดโรงงานของจีนในช่วงกีฬาโอลิมปิก และจากปริมาณความต้องการที่ลดลงของการค้าในเส้นทางตะวันออกตะวันตกและอย่างสุดท้ายจากการเพิ่มความระมัดระวังของธนาคารต่างๆในการปล่อยสินเชื่อทำให้ปริมาณสินค้าลดลงซึ่งไม่สามารถชดเชยได้จากการปรับราคาค่าระวางเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์ดังกล่าวทำให้ไตรมาสที่ 3 ปี 51บริษัท ฯ มีผลขาดทุนก่อนอัตราแลกเปลี่ยน 298.5 ล้านบาทและบริษัทมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเป็น142 ล้านบาท รวมผลขาดทุนเป็น 440.5 ล้านบาท
แม้ว่าจำนวนการขนส่งตู้สินค้าของกลุ่มบริษัทยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องแต่ก็น้อยกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ว่าในไตรมาส 3 จะเป็นช่วงที่มีปริมาณสูงสุด การขนส่งตู้สินค้าประเภทคู่ค้ากับสายเรือใหญ่ มีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น402,251 ตู้ คิดเป็นการเพิ่ม 8 %เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ของปีก่อนขณะที่การขนส่งตู้สินค้าประเภทที่กลุ่มดำเนินการเองมีจำนวนตู้เพิ่มเป็น 362,545 ตู้ คิดเป็นการเพิ่มขึ้น 4 % เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 ในปีก่อน ทำให้ยอดรวมของการขนส่งตู้สินค้าของกลุ่มบริษัท เพิ่มขึ้นเป็น764,796 ตู้ คิดเป็นการเพิ่ม 6 %เมื่อเปรียบเทียบกับ ไตรมาสที่ 3 ปี 50