อนันดาฯหวั่นกองทุนต่างชาติโยกเม็ดเงินลงทุนหนี หลังทีเอ็มดับบลิว เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ 1 เร่งประเมินสถานการณ์ลงทุนในไทยก่อนโยกเงินลงทุน เชื่อหากการเมืองไทยยังขาดเสถียรภาพ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ1.2 ล้านล้านบาทไม่ชัดเจน สถาบันการเงินในประเทศหยุดปล่อยกู้โครงการใหม่ เชื่อพร็อพเพอร์ตี้ฟันด์หอบเงินหนีไปลงทุนประเทศอื่น
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทีเอ็มดับบลิว เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ 1 ประจำประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ ไพรม์อเมริกา เรียลเอสเตท อินเวสเตอร์ จากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ภายหลังประเมินสถานการณ์ลงทุนในประเทศไทยแล้วเห็นว่า การเมืองในไทยยังไม่มีเสถียรภาพ ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะใช้เงิน 1.2 ล้านล้านบาท ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะที่สถาบันการเงินในประเทศหยุดปล่อยกู้โครงการใหม่ กองทุนจึงมีแผนที่จะโยกเม็ดเงินไปลงทุนประเทศอื่นเช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซึ่งมีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่าไทย
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่บริหาร โดยไพร์มอเมริกา มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งของเม็ดเงินลงทุนมาจากนักลงทุนตะวันออกกลางถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเดิมมีเป้าหมายเพื่อลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียโดยเฉพาะ ได้ชะลอแผนการลงทุนในเมืองไทยออกไปด้วย
นายชานนท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯปี 52 นั้นส่วนตัวเห็นว่าตลาดแนวสูงยังคงมีความต่อเนื่อง แต่ต้องพิจารณาเป็นเซ็กเตอร์ไป และต้องพิจารณารายละเอียดในเรื่องของราคาขาย ทำเลที่ตั้งโครงการ และรูปแบบโครงการด้วย ส่วนตลาดแนวราบนั้นเชื่อว่าจะยังทรงตัวจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเป็นปัจจัยลบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดต่อเนื่องถึงปี 52 แต่บริษัทยังมีแผนการขยายการลงทุนโครงการแนวสูงและแนวราบต่อเนื่อง โดยในส่วนของโครงการแนวสูงนั้น ขณะนี้บริษัทยังมีเงินที่ได้จากกองทุนเหลืออยู่ในมือ 30 ล้านปอนด์ จากยอดเงินทั้งหมด 100 ล้านปอนด์
โดยล่าสุดได้ใช้เงินซื้อที่ดินลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ 2 โครงการรวมมูลค่า 10 ล้านปอนด์ ทำให้ในปีนี้บริษัทมีการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรวม 14 โครงการ ส่วนแนวทางการลงทุนด้านโครงการแนวสูงนั้นบริษัท สนใจที่จะเข้าไปซื้อโครงการสร้างค้างที่มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้ง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขายต่อ โดยโครงการสร้างค้างดังกล่าวต้องอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้า ตามคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการ I DEO
ส่วนแผนการพัฒนาโครงการแนวราบนั้น บริษัทเตรียมขยายการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ยังมองหาที่ดินใหม่ในย่านสุวรรณภูมิ เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ หลังจากก่อนหน้านั้นได้ใช้เงินกองทุน45ล้านปอนด์ซื้อที่ดิน 7 แปลง พัฒนาบ้านเดี่ยวและเปิดขายไปแล้ว 5 แปลง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะพัฒนาโครงหารและเปิดตัวในปีหน้า
“ในช่วง 4-5 ปีจากนี้ทำเลย่านสุวรรณภูมิจะเป็นทำเลที่มีความต้องการขยายตัวสูงสุด และมีการลงทุนขยายตัวมากที่สุด เนื่องจากปีหน้าระบบคมนาคม ทั้งระบบรางแอร์พอร์ตลิ้งค์ ทางด่วนทุกสายที่ก่อสร้างเชื่อมสุวรรณภูมิ และวงแหวนด้านใต้ก่อสร้างเสร็จแล้ว ทำให้แนวโน้มการลงทุนจะเคลื่อนมาในโซนดังกล่าว ส่วนทำเลอื่นๆ ไม่มีทำเลใดจะมีการก่อสร้างระบบคมนาคมก่อสร้างเสร็จในช่วง 3-4 ปีจากนี้”
นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ทีเอ็มดับบลิว เอเชีย พร็อพเพอร์ตี้ ฟันด์ 1 ประจำประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ ไพรม์อเมริกา เรียลเอสเตท อินเวสเตอร์ จากสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ภายหลังประเมินสถานการณ์ลงทุนในประเทศไทยแล้วเห็นว่า การเมืองในไทยยังไม่มีเสถียรภาพ ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่คาดว่าจะใช้เงิน 1.2 ล้านล้านบาท ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ในขณะที่สถาบันการเงินในประเทศหยุดปล่อยกู้โครงการใหม่ กองทุนจึงมีแผนที่จะโยกเม็ดเงินไปลงทุนประเทศอื่นเช่น ญี่ปุ่น สิงคโปร์ ซึ่งมีเสถียรภาพทางการเมืองมากกว่าไทย
นอกจากนี้ ยังมีกองทุนที่บริหาร โดยไพร์มอเมริกา มูลค่ากองทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งส่วนหนึ่งของเม็ดเงินลงทุนมาจากนักลงทุนตะวันออกกลางถึง 250 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเดิมมีเป้าหมายเพื่อลงทุนในกลุ่มประเทศเอเชียโดยเฉพาะ ได้ชะลอแผนการลงทุนในเมืองไทยออกไปด้วย
นายชานนท์ กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯปี 52 นั้นส่วนตัวเห็นว่าตลาดแนวสูงยังคงมีความต่อเนื่อง แต่ต้องพิจารณาเป็นเซ็กเตอร์ไป และต้องพิจารณารายละเอียดในเรื่องของราคาขาย ทำเลที่ตั้งโครงการ และรูปแบบโครงการด้วย ส่วนตลาดแนวราบนั้นเชื่อว่าจะยังทรงตัวจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังคงเป็นปัจจัยลบต่อการตัดสินใจซื้อของลูกค้า
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจัยลบดังกล่าวจะส่งผลต่อการขยายตัวของตลาดต่อเนื่องถึงปี 52 แต่บริษัทยังมีแผนการขยายการลงทุนโครงการแนวสูงและแนวราบต่อเนื่อง โดยในส่วนของโครงการแนวสูงนั้น ขณะนี้บริษัทยังมีเงินที่ได้จากกองทุนเหลืออยู่ในมือ 30 ล้านปอนด์ จากยอดเงินทั้งหมด 100 ล้านปอนด์
โดยล่าสุดได้ใช้เงินซื้อที่ดินลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ 2 โครงการรวมมูลค่า 10 ล้านปอนด์ ทำให้ในปีนี้บริษัทมีการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรวม 14 โครงการ ส่วนแนวทางการลงทุนด้านโครงการแนวสูงนั้นบริษัท สนใจที่จะเข้าไปซื้อโครงการสร้างค้างที่มีศักยภาพด้านทำเลที่ตั้ง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมขายต่อ โดยโครงการสร้างค้างดังกล่าวต้องอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้า ตามคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการ I DEO
ส่วนแผนการพัฒนาโครงการแนวราบนั้น บริษัทเตรียมขยายการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้ยังมองหาที่ดินใหม่ในย่านสุวรรณภูมิ เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ หลังจากก่อนหน้านั้นได้ใช้เงินกองทุน45ล้านปอนด์ซื้อที่ดิน 7 แปลง พัฒนาบ้านเดี่ยวและเปิดขายไปแล้ว 5 แปลง ส่วนที่เหลือคาดว่าจะพัฒนาโครงหารและเปิดตัวในปีหน้า
“ในช่วง 4-5 ปีจากนี้ทำเลย่านสุวรรณภูมิจะเป็นทำเลที่มีความต้องการขยายตัวสูงสุด และมีการลงทุนขยายตัวมากที่สุด เนื่องจากปีหน้าระบบคมนาคม ทั้งระบบรางแอร์พอร์ตลิ้งค์ ทางด่วนทุกสายที่ก่อสร้างเชื่อมสุวรรณภูมิ และวงแหวนด้านใต้ก่อสร้างเสร็จแล้ว ทำให้แนวโน้มการลงทุนจะเคลื่อนมาในโซนดังกล่าว ส่วนทำเลอื่นๆ ไม่มีทำเลใดจะมีการก่อสร้างระบบคมนาคมก่อสร้างเสร็จในช่วง 3-4 ปีจากนี้”