ซีมิโก้ เก็บหุ้นของ บล.เคทีบี 40% โดยซื้อจากกลุ่ม “ชาญชัย กุลถาวรากร” ที่ขายออกมาหลังถูกลดบทบาทการบริหาร เล็งซื้อเพิ่มเป็น 50% หวังขยายฐานลูกค้าคลุมทุก ตามเป้าหมายการขยายธุรกิจคลุมภูมิภาค Indo-China
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซีมิโก้ ได้เข้าไปซื้อหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด (KTBS)ประมาณ 40% และยังจะซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 50% ซึ่งจะซื้อจากรายย่อย เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งทางด้านค้าหลักทรัพย์ ด้าน Wealth Management และInvestment Banking ได้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่เป้าหมายยังจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาค Indo-China พร้อมร่วมกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แหล่งข่าววงใน กล่าวว่า ซีมีโก้ เข้าซื้อหุ้น เคทีบีจากกลุ่มนายชาญชัย กุลถาวรากร ประธาน กรรมการบริหาร เคทีบี การที่เขาขายออกมา เพราะแบงก์กรุงไทยลดบทบาทการบริหารงานของนายชาญ
ชัย หลังจากที่บริษัทปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ให้กับกลุ่มนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ทำให้ บริษัทได้รับความเสียหาย 80-90 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นนายสุริยาเข้าไปลงทุน ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจนถูก บังคับขาย (ฟลอสเซล) ซึ่งการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าต้นทุนที่นายชาญชัยซื้อลงทุนที่12.70 บาท ส่วนกลุ่มรายย่อยขายออกมาพร้อมกัน เพราะงบที่ประกาศออกมาไม่ดีทำให้ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ตามแผน
นายชัยภัทร ศรีวิสารวาจา ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ซีมิโก้ ได้เข้าไปซื้อหุ้นใน บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด (KTBS)ประมาณ 40% และยังจะซื้อหุ้นเพิ่มเป็น 50% ซึ่งจะซื้อจากรายย่อย เพื่อขยายฐานลูกค้าทั้งทางด้านค้าหลักทรัพย์ ด้าน Wealth Management และInvestment Banking ได้ครอบคลุมมากขึ้น ขณะที่เป้าหมายยังจะขยายธุรกิจให้ครอบคลุมภูมิภาค Indo-China พร้อมร่วมกับสถาบันการเงินขนาดใหญ่เพื่อให้สามารถเข้าสู่ตลาดได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
แหล่งข่าววงใน กล่าวว่า ซีมีโก้ เข้าซื้อหุ้น เคทีบีจากกลุ่มนายชาญชัย กุลถาวรากร ประธาน กรรมการบริหาร เคทีบี การที่เขาขายออกมา เพราะแบงก์กรุงไทยลดบทบาทการบริหารงานของนายชาญ
ชัย หลังจากที่บริษัทปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ (มาร์จิ้นโลน) ให้กับกลุ่มนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ทำให้ บริษัทได้รับความเสียหาย 80-90 ล้านบาท
ขณะที่หุ้นนายสุริยาเข้าไปลงทุน ราคาหุ้นปรับตัวลดลงจนถูก บังคับขาย (ฟลอสเซล) ซึ่งการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ที่ราคา 10 บาทต่อหุ้น ต่ำกว่าต้นทุนที่นายชาญชัยซื้อลงทุนที่12.70 บาท ส่วนกลุ่มรายย่อยขายออกมาพร้อมกัน เพราะงบที่ประกาศออกมาไม่ดีทำให้ไม่สามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดได้ตามแผน