ธปท.เผยผู้ประกอบการธุรกิจ SMEs ภาคเหนือ-อีสาน ยังเข้าถึงแหล่งเงินทุนน้อย ชี้ปัญหาหนัก คือ ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่ทราบหรือทราบแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐที่ผ่านมา แนะสร้างความรู้ เร่งประชาสัมพันธ์ และแยกสถาบันการเงินดูแลลูกค้าเฉพาะกลุ่ม
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ธปท.ได้เสนอบทความหัวข้อ “การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs : กรณีศึกษาภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยนางณัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ซึ่งได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการจำนวน 800 ราย ในเขตพื้นที่ 17 จังหวัดในภาคเหนือ และ 19 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมทั้งผู้บริหารธนาคารพาณิชย์และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( SME BANK) ที่เป็นแหล่งเงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
โดยพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ยังขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อย เนื่องจาก ขาดการวางแผนทางการเงินหรือระบบบัญชีไม่ดีพอ เคยมีประวัติเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ไม่มีแผนการตลาด ปิดบังข้อมูล ขาดสภาพคล่อง ความไม่เพียงของหลักประกัน และขนาดของกิจการที่มีสินทรัพย์ถาวรต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อยกว่ากิจการที่มีขนาดสินทรัพย์มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป
ขณะเดียวกันปัจจัยที่มีผลให้ผู้ประกอบการผิดนัดชำระหนี้สูง ได้แก่ ขาดทุนจากผลประกอบการ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน สถานะกิจการที่ไม่ใช่บริษัทจำกัด เคยมีประวัติเป็น NPL ภาวะธุรกิจไม่สดใส วงเงินกู้ที่ได้รับน้อยเกินไป และการดำเนินกิจการมากกว่า 1 กิจการ
“แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการหลายอย่างมาช่วยเหลือ SMEs อาทิ กองทุนร่วมทุนกับผู้ประกอบการ การระดมทุนในตลาด MAI การค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แต่ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ไม่ทราบ หรือทราบแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้”
ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยการให้ความรู้ด้านการเงินและบัญชี รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการของรัฐให้ทั่วถึง ส่วนภาคสถาบันการเงินที่เป็นแหล่งเงินทุนควรสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธนาคาร SMEs และแยกสถาบันการเงินที่จัดสรรเงินตามขนาดของ SMEs เช่น ธนาคารพาณิชย์ควรดูแลกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง ส่วนธนาคาร SMEs ควรดูแลลูกค้าขนาดเล็ก เป็นต้น รวมทั้งควรมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจตามขนาดและลำดับขั้นของการพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ และมีการจัดทำฐานข้อมูล SMEs อย่างเป็นระบบ
รายงานข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) แจ้งว่า ธปท.ได้เสนอบทความหัวข้อ “การเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs : กรณีศึกษาภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” โดยนางณัฐิกานต์ วรสง่าศิลป์ นักวิจัยอาวุโส ฝ่ายวิจัยเศรษฐกิจ ซึ่งได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการจำนวน 800 ราย ในเขตพื้นที่ 17 จังหวัดในภาคเหนือ และ 19 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พร้อมทั้งผู้บริหารธนาคารพาณิชย์และธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย( SME BANK) ที่เป็นแหล่งเงินทุนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs)
โดยพบว่า ผู้ประกอบการ SMEs ยังขาดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อย เนื่องจาก ขาดการวางแผนทางการเงินหรือระบบบัญชีไม่ดีพอ เคยมีประวัติเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ไม่มีแผนการตลาด ปิดบังข้อมูล ขาดสภาพคล่อง ความไม่เพียงของหลักประกัน และขนาดของกิจการที่มีสินทรัพย์ถาวรต่ำกว่า 5 ล้านบาทจะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้น้อยกว่ากิจการที่มีขนาดสินทรัพย์มากกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป
ขณะเดียวกันปัจจัยที่มีผลให้ผู้ประกอบการผิดนัดชำระหนี้สูง ได้แก่ ขาดทุนจากผลประกอบการ ขาดสภาพคล่องทางการเงิน สถานะกิจการที่ไม่ใช่บริษัทจำกัด เคยมีประวัติเป็น NPL ภาวะธุรกิจไม่สดใส วงเงินกู้ที่ได้รับน้อยเกินไป และการดำเนินกิจการมากกว่า 1 กิจการ
“แม้รัฐบาลจะพยายามออกมาตรการหลายอย่างมาช่วยเหลือ SMEs อาทิ กองทุนร่วมทุนกับผู้ประกอบการ การระดมทุนในตลาด MAI การค้ำประกันสินเชื่อจากบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) รวมถึงการสนับสนุนสินเชื่อของกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม แต่ผู้ประกอบการ SMEs ส่วนใหญ่ไม่ทราบ หรือทราบแต่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมาตรการเหล่านี้”
ดังนั้น การสร้างความเข้มแข็งให้ SMEs ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยการให้ความรู้ด้านการเงินและบัญชี รวมทั้งเร่งประชาสัมพันธ์มาตรการของรัฐให้ทั่วถึง ส่วนภาคสถาบันการเงินที่เป็นแหล่งเงินทุนควรสร้างความเข้มแข็งให้แก่ธนาคาร SMEs และแยกสถาบันการเงินที่จัดสรรเงินตามขนาดของ SMEs เช่น ธนาคารพาณิชย์ควรดูแลกลุ่มลูกค้าขนาดกลาง ส่วนธนาคาร SMEs ควรดูแลลูกค้าขนาดเล็ก เป็นต้น รวมทั้งควรมีมาตรการสนับสนุนธุรกิจตามขนาดและลำดับขั้นของการพัฒนาธุรกิจ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของธุรกิจ และมีการจัดทำฐานข้อมูล SMEs อย่างเป็นระบบ
