สมาคมรับสร้างบ้าน ระบุน้ำมันนิ่งฉุดราคาวัสดุลด แนะจังหวะเหมาะรับเหมาสต๊อกวัสดุก่อสร้างเพื่อคุมต้นทุน หวังไตรมาส 3 ตลาดรับสร้างบ้านกระเตื้องเหตุผู้บริโภคเร่งสร้างบ้านก่อนค่าก่อสร้างปรับขึ้นอีกระลอก ล่าสุดเร่งยอดขายสมาชิกจัดงานรับสร้างบ้าน 2008 ตั้งเป้ายอดขาย 1,500 ล้านบาท ด้านศูนย์ข้อมูลเผยคนนิยมสร้างบ้าน 3 ชั้น จากปัจจัยที่ดินแพงขึ้น ด้านประธานกรรมการบริหารบิวท์ ทู บิวด์ แนะเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่ดี ได้บ้านคุ้มราคา ไม่เสี่ยงถูกทิ้งงาน
นายพันธุ์เทพ ทานชิติกุล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สมาคมฯได้กำหนดให้มีการจัดงาน “รับสร้างบ้าน 2008” ภายใต้คอนเซ็ปต์ Keep In Balance ในระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค.นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อกระตุ้นตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีเป้าหมายยอดขายภายในงานเท่ากับปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีเท่าที่ควร โดยพิจารณาได้จากตลาดรวมของรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนใหญ่ผลประกอบการออกมาดี แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส กลับได้รับผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นราคา ทำให้ผลประกอบการออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนไตรมาส 3 คาดว่าตลาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะผู้บริโภคติดสินใจสร้างบ้านเร็วขึ้น เพราะกังวลเรื่องราคาก่อสร้างจะปรับสูงขึ้นในปีหน้า ส่วนการปรับขึ้นของราคาค่าก่อสร้างนั้น แตกต่างกันตามศักยภาพของแต่ละบริษัท แต่ส่วนใหญ่ปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 5%
“ช่วงนี้ดีหน่อย เพราะราคาน้ำมันนิ่ง ราคาวัสดุก่อสร้างราคาลดลงตามไปด้วย จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ประกอบการจะสต๊อกสินค้า ซึ่งเป็นวิธีควบคุมต้นทุนได้ดีที่สุด”
ส่วนเรื่องสัญญามาตรฐานระหว่างบริษัทรับสร้างบ้านและลูกค้า ขณะสำนักงานคุมครองผู้บริโภค (สคบ.) มีความเห็นตอบรับในเชิงบวก ซึ่งได้ประชุมหารือหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสคบ.ยังคงให้ความเห็นธุรกิจรับสร้างยังอยู่ในหมวดก่อสร้างที่ไม่ได้เป็นธุรกิจควบคุมของรัฐ และสมาคมก็ไม่ได้มีอำนาจบังคับผู้รับเหมาอีกด้วย
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. กล่าวว่า จากการสำรวจแบบสอบถามผู้ที่เข้าร่วมงานรับสร้างบ้าน 2007 จำนวน 11,000 ราย พบว่า คนอายุ 31-40 มีความต้องการสร้างบ้านมาที่สุด อันดับสอง 41-50 ปี จำนวน 26% ซึ่งต่างจากกลุ่มคนที่ต้องการซื้อบ้านจัดสรรที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนเริ่มวัยเริ่มทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเข้าชมงาน 21-24% มีความตั้งใจสร้างบ้าน ส่วนอีก 41-42% มาศึกษาข้อมูลเพื่อสร้างบ้านในอนาคต โดยแผนกวัสดุก่อสร้าง เช่น พื้น ประตู หน้าต่าง และสุขภัณฑ์ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ในจำนวนผู้ที่ต้องการใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน มีที่ดินทั้งในและนอกโครงการจัดสรร โดยเป็นที่ดินในโครงการจัดสรร 26% นอกโครงการจัดสรร 43%
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มมีความต้องการสร้างหรือต่อเติมบ้านเต็มพื้นที่ดิน จากในอดีตจะต้องมีส่วนของพื้นที่สวน การสร้างบ้านจะนิยมสร้างเป็นอาคารสูง 3 ชั้น เพราะราคาที่ดินแพงและเพื่อประโยชน์ใช้สอยได้มากขึ้น ขนาดที่ดินที่ใช้ในการสร้างบ้านมากที่สุด 51-100 ตร.ว. งบประมาณ 1-1.5 ล้านบาท เป็นจำนวนที่มากที่สุด
“แนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในภาวะปัจจุบันยังมีโอกาสที่ดี แต่ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นจะทำให้กำไรของธุรกิจนี้ลดลง”
ด้านนายธีระ ซอโสตถิกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงผู้รับเหมาในเรื่องของภาระต้นทุน ทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงจากการสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับเหมาบางรายที่ขาดคุณภาพ โดยหากผู้บริโภคมีโอกาสเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพที่ดี จะช่วยทำให้สร้างบ้านได้คุ้มกับราคา และงบประมาณที่ตั้งไว้
นายพันธุ์เทพ ทานชิติกุล นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดเผยว่า สมาคมฯได้กำหนดให้มีการจัดงาน “รับสร้างบ้าน 2008” ภายใต้คอนเซ็ปต์ Keep In Balance ในระหว่างวันที่ 20-24 ส.ค.นี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อกระตุ้นตลาดรับสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง โดยมีเป้าหมายยอดขายภายในงานเท่ากับปีที่แล้ว 1,500 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจไม่ค่อยจะดีเท่าที่ควร โดยพิจารณาได้จากตลาดรวมของรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนใหญ่ผลประกอบการออกมาดี แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส กลับได้รับผลกระทบจากราคาวัสดุก่อสร้างปรับขึ้นราคา ทำให้ผลประกอบการออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ส่วนไตรมาส 3 คาดว่าตลาดจะมีทิศทางที่ดีขึ้น เพราะผู้บริโภคติดสินใจสร้างบ้านเร็วขึ้น เพราะกังวลเรื่องราคาก่อสร้างจะปรับสูงขึ้นในปีหน้า ส่วนการปรับขึ้นของราคาค่าก่อสร้างนั้น แตกต่างกันตามศักยภาพของแต่ละบริษัท แต่ส่วนใหญ่ปรับขึ้นไม่น้อยกว่า 5%
“ช่วงนี้ดีหน่อย เพราะราคาน้ำมันนิ่ง ราคาวัสดุก่อสร้างราคาลดลงตามไปด้วย จึงเป็นโอกาสที่ดีที่ผู้ประกอบการจะสต๊อกสินค้า ซึ่งเป็นวิธีควบคุมต้นทุนได้ดีที่สุด”
ส่วนเรื่องสัญญามาตรฐานระหว่างบริษัทรับสร้างบ้านและลูกค้า ขณะสำนักงานคุมครองผู้บริโภค (สคบ.) มีความเห็นตอบรับในเชิงบวก ซึ่งได้ประชุมหารือหลายครั้ง แต่อย่างไรก็ตามสคบ.ยังคงให้ความเห็นธุรกิจรับสร้างยังอยู่ในหมวดก่อสร้างที่ไม่ได้เป็นธุรกิจควบคุมของรัฐ และสมาคมก็ไม่ได้มีอำนาจบังคับผู้รับเหมาอีกด้วย
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. กล่าวว่า จากการสำรวจแบบสอบถามผู้ที่เข้าร่วมงานรับสร้างบ้าน 2007 จำนวน 11,000 ราย พบว่า คนอายุ 31-40 มีความต้องการสร้างบ้านมาที่สุด อันดับสอง 41-50 ปี จำนวน 26% ซึ่งต่างจากกลุ่มคนที่ต้องการซื้อบ้านจัดสรรที่ส่วนใหญ่จะเป็นคนเริ่มวัยเริ่มทำงาน ที่มีอายุระหว่าง 25-35 ปี
สำหรับวัตถุประสงค์ของการเข้าชมงาน 21-24% มีความตั้งใจสร้างบ้าน ส่วนอีก 41-42% มาศึกษาข้อมูลเพื่อสร้างบ้านในอนาคต โดยแผนกวัสดุก่อสร้าง เช่น พื้น ประตู หน้าต่าง และสุขภัณฑ์ได้รับความสนใจเป็นอันดับต้นๆ ในจำนวนผู้ที่ต้องการใช้บริการบริษัทรับสร้างบ้าน มีที่ดินทั้งในและนอกโครงการจัดสรร โดยเป็นที่ดินในโครงการจัดสรร 26% นอกโครงการจัดสรร 43%
อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มมีความต้องการสร้างหรือต่อเติมบ้านเต็มพื้นที่ดิน จากในอดีตจะต้องมีส่วนของพื้นที่สวน การสร้างบ้านจะนิยมสร้างเป็นอาคารสูง 3 ชั้น เพราะราคาที่ดินแพงและเพื่อประโยชน์ใช้สอยได้มากขึ้น ขนาดที่ดินที่ใช้ในการสร้างบ้านมากที่สุด 51-100 ตร.ว. งบประมาณ 1-1.5 ล้านบาท เป็นจำนวนที่มากที่สุด
“แนวโน้มธุรกิจรับสร้างบ้านในภาวะปัจจุบันยังมีโอกาสที่ดี แต่ราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับสูงขึ้นจะทำให้กำไรของธุรกิจนี้ลดลง”
ด้านนายธีระ ซอโสตถิกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บิวท์ ทู บิวด์ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ผลจากภาวะเศรษฐกิจที่ราคาน้ำมันและวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจรับสร้างบ้าน รวมถึงผู้รับเหมาในเรื่องของภาระต้นทุน ทำให้ผู้บริโภคมีความเสี่ยงจากการสร้างบ้านที่ไม่ได้มาตรฐาน และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากผู้รับเหมาบางรายที่ขาดคุณภาพ โดยหากผู้บริโภคมีโอกาสเลือกบริษัทรับสร้างบ้านที่มีคุณภาพที่ดี จะช่วยทำให้สร้างบ้านได้คุ้มกับราคา และงบประมาณที่ตั้งไว้
