BLAND งวดสิ้นปีกำไรทะยานเกือบ 2,000% ผลจากรายได้รวมเพิ่มขึ้นทั้งรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกำไรจากการขายหุ้นอิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ ขณะที่ดอกเบี้ยจ่ายลดลงจากหนี้สินที่ลดลง
นายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ( BLAND ) แจ้งว่าบริษัทฯและบริษัทย่อยได้รายงานผลประกอบการสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มีผลกำไรสุทธิ 6,023 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 291.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 5,731 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,964.20 % และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 7,443 ล้านบาท หรือ 287 % เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
เนื่องจากมีกำไร 3,691 ล้านบาท จากการซื้อคืนตราสารหนี้ต่างประเทศ กำไรจากการขายหุ้นในบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัดในราคา 7,430 ล้านบาท และการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม 1,201 ล้านบาท รวมทั้งรายได้จากค่าเช่าและบริการเพิ่ม ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวมไม่รวมขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นผลจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขาย จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มและรายได้ค่าบริการและค่าเช่าสูงขึ้น และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 325 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจ่ายลดจากหนี้สินที่ลดลง
ทั้งนี้ ภาษีเงินได้สำหรับปีเป็น 228 ล้านบาท เปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 716 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ภาษีจ่ายในปีปัจจุบันเป็น 228 ล้านบาท (ปี 2550-6 ล้านบาท) สาเหตุส่วนใหญ่มาจากกำไรสุทธิของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด (อิมแพ็ค) บริษัทย่อยของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ในปี 2550 บริษัทฯ ได้โอนอสังหาริมทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์การประชุม ให้กับอิมแพ็ค การโอนอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นมีผลต่อการกลับรายการของภาษีเงินได้รอตัดบัญชี 719 ล้านบาทที่ได้เคยบันทึกไว้ในส่วนเกินจากการประเมินราคาเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ใหม่รายการพิเศษกำไรจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 336 บริษัทฯ ทำการรับรู้จากการที่บริษัทฯ ได้ชำระหนี้สินทั้งหมดครบถ้วนตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง
นายอนันต์ กาญจนพาสน์ ประธานกรรมการ บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ( BLAND ) แจ้งว่าบริษัทฯและบริษัทย่อยได้รายงานผลประกอบการสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2551 มีผลกำไรสุทธิ 6,023 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 291.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนถึง 5,731 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,964.20 % และมีรายได้รวมเพิ่มขึ้นเป็น 7,443 ล้านบาท หรือ 287 % เปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา
เนื่องจากมีกำไร 3,691 ล้านบาท จากการซื้อคืนตราสารหนี้ต่างประเทศ กำไรจากการขายหุ้นในบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัดในราคา 7,430 ล้านบาท และการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่ม 1,201 ล้านบาท รวมทั้งรายได้จากค่าเช่าและบริการเพิ่ม ขณะที่มีค่าใช้จ่ายรวมไม่รวมขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนมากเป็นผลจากต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการขาย จากการขายอสังหาริมทรัพย์เพิ่มและรายได้ค่าบริการและค่าเช่าสูงขึ้น และมีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน 325 ล้านบาท ส่วนดอกเบี้ยจ่ายลดจากหนี้สินที่ลดลง
ทั้งนี้ ภาษีเงินได้สำหรับปีเป็น 228 ล้านบาท เปรียบเทียบกับสิทธิประโยชน์ทางภาษี 716 ล้านบาทเมื่อปีที่แล้ว ภาษีจ่ายในปีปัจจุบันเป็น 228 ล้านบาท (ปี 2550-6 ล้านบาท) สาเหตุส่วนใหญ่มาจากกำไรสุทธิของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด (อิมแพ็ค) บริษัทย่อยของบริษัทฯเพิ่มขึ้น ในปี 2550 บริษัทฯ ได้โอนอสังหาริมทรัพย์ในส่วนที่เกี่ยวเนื่องกับศูนย์แสดงสินค้าและศูนย์การประชุม ให้กับอิมแพ็ค การโอนอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นมีผลต่อการกลับรายการของภาษีเงินได้รอตัดบัญชี 719 ล้านบาทที่ได้เคยบันทึกไว้ในส่วนเกินจากการประเมินราคาเงินลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทฯ ใหม่รายการพิเศษกำไรจากการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ 336 บริษัทฯ ทำการรับรู้จากการที่บริษัทฯ ได้ชำระหนี้สินทั้งหมดครบถ้วนตามสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงินแห่งหนึ่ง