แบงก์นครหลวงไทยชี้แนวโน้มสินเชื่อไตรมาสแรกทรงตัวจากสิ้นปีก่อน แต่น่าจะไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วน หลังลูกค้ารายใหญ่หันออกหุ้นกู้เอง ส่วนเป้าหมายทั้งปียังได้ลุ้น ด้านเป้าหมายระดมเงินฝากปีนี้ที่ 20,000 ล้านบาทมั่นใจทำได้ตามเป้าหมายแน่นอน หลังโครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟ่ต์และโครงการน้ำหนึ่งใจเดียวระดมเงินได้เกินเป้าหมาย
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารในไตรมาส 1 ของปีนี้คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มทรงตัวจากสิ้นปีที่แล้ว โดยเป้าหมายในไตรมาส 1 คาดว่าสินเชื่อรวมจะโต 5,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากลูกค้า โดยเฉพาะรายใหญ่ชะลอการขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยหันไปเน้นออกหุ้นกู้แทนเพื่อนำเงินไปปรับโครงสร้างหนี้ หรือ รีไฟแนนซ์หนี้กับทางธนาคาร นอกจากนี้ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อตัวทีมงานเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน และรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในส่วนของลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรวมเติบโตสุทธิ 30,000 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากปีที่แล้วและน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของเงินฝากสุทธิในปีนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 โดยเป็นผลจากการที่ธนาคารได้ใช้กลยุทธ์เน้นการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น โครงการระดมเงินฝากของธนาคาร เช่น โครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟ่ต์ มียอดเงินฝากเพิ่มสุทธิ 1,400 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยถือว่าโครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจนส่งผลให้ยอดเงินฝากในโครงการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ฐานเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟ่ต์จะเพิ่มเป็น 19,000 ล้านบาท คิดเป็น 280,000 บัญชี จากสิ้นปีที่แล้วฐานเงินฝากดังกล่าวอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท และอีกโครงการหนึ่งคือโครงการน้ำหนึ่งใจเดียวที่มียอดเติบโตถึง 9,400 ล้านบาท ซึ่งโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เป็นต้น ดังนั้นธนาคารจึงคาดว่าจะสามารถทำระดมเงินฝากรวมได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน
สำหรับสัดส่วนเงินฝากของธนาคารนั้นในปัจจุบันแบ่งออกเป็น เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 28% เงินฝากประจำอยู่ที่ 70% และเงินฝากกระแสรายวันอยู่ที่กว่า 1% โดยสิ้นปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายที่จะปรับเพิ่มสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันเป็น 32-33% ส่วนเงินฝากประจำจะลดเหลือ 67-68% และคาดว่าภายใน 3 ปีต้องการเห็นสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันอยู่ที่ 40% เงินฝากประจำอยู่ที่ 60% ซึ่งหากสัดส่วนเงินฝากทั้งระบบธนาคารเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงถึง 0.40 บาท
นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCIB เปิดเผยว่า การปล่อยสินเชื่อรวมของธนาคารในไตรมาส 1 ของปีนี้คาดการณ์ว่ามีแนวโน้มทรงตัวจากสิ้นปีที่แล้ว โดยเป้าหมายในไตรมาส 1 คาดว่าสินเชื่อรวมจะโต 5,000 ล้านบาท แต่ก็ไม่สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เนื่องจากลูกค้า โดยเฉพาะรายใหญ่ชะลอการขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยหันไปเน้นออกหุ้นกู้แทนเพื่อนำเงินไปปรับโครงสร้างหนี้ หรือ รีไฟแนนซ์หนี้กับทางธนาคาร นอกจากนี้ธนาคารได้ปรับกลยุทธ์การปล่อยสินเชื่อตัวทีมงานเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน และรองรับความต้องการลูกค้าทั้งในส่วนของลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือ เอสเอ็มอี และลูกค้ารายย่อย อย่างไรก็ตามในปีนี้ธนาคารตั้งเป้าสินเชื่อรวมเติบโตสุทธิ 30,000 ล้านบาท หรือเติบโต 12% จากปีที่แล้วและน่าจะทำได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
ทั้งนี้ ธนาคารได้ตั้งเป้าหมายการเติบโตของเงินฝากสุทธิในปีนี้ไว้ที่ 20,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 โดยเป็นผลจากการที่ธนาคารได้ใช้กลยุทธ์เน้นการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้า ทำให้ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมานั้น โครงการระดมเงินฝากของธนาคาร เช่น โครงการเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟ่ต์ มียอดเงินฝากเพิ่มสุทธิ 1,400 ล้านบาท จากเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยถือว่าโครงการดังกล่าวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจนส่งผลให้ยอดเงินฝากในโครงการดังกล่าวเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้
โดยคาดว่าสิ้นปีนี้ฐานเงินฝากออมทรัพย์บุฟเฟ่ต์จะเพิ่มเป็น 19,000 ล้านบาท คิดเป็น 280,000 บัญชี จากสิ้นปีที่แล้วฐานเงินฝากดังกล่าวอยู่ที่ 13,000 ล้านบาท และอีกโครงการหนึ่งคือโครงการน้ำหนึ่งใจเดียวที่มียอดเติบโตถึง 9,400 ล้านบาท ซึ่งโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 4,000 ล้านบาท เป็นต้น ดังนั้นธนาคารจึงคาดว่าจะสามารถทำระดมเงินฝากรวมได้ตามเป้าที่วางไว้อย่างแน่นอน
สำหรับสัดส่วนเงินฝากของธนาคารนั้นในปัจจุบันแบ่งออกเป็น เงินฝากออมทรัพย์อยู่ที่ 28% เงินฝากประจำอยู่ที่ 70% และเงินฝากกระแสรายวันอยู่ที่กว่า 1% โดยสิ้นปีนี้ธนาคารมีเป้าหมายที่จะปรับเพิ่มสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันเป็น 32-33% ส่วนเงินฝากประจำจะลดเหลือ 67-68% และคาดว่าภายใน 3 ปีต้องการเห็นสัดส่วนเงินฝากออมทรัพย์และกระแสรายวันอยู่ที่ 40% เงินฝากประจำอยู่ที่ 60% ซึ่งหากสัดส่วนเงินฝากทั้งระบบธนาคารเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ก็จะทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงถึง 0.40 บาท
