ผมได้ชมคอนเสิร์ต "กำลังใจ" โดย เลนา มาเรีย ศิลปินคนพิการ ซึ่งเธอเกิดมาไม่มีแขน และขาข้างหนึ่งสั้นครึ่งหนึ่งของอีกข้างหนึ่ง เธอสามารถกระโดดว่ายน้ำแข่งขันได้ เธอได้เหรียญรางวัลพาราลิมปิค การว่ายน้ำประเภทผีเสื้อ (ซึ่งผมยังว่ายไม่เป็น) เธอมีขาเทียม ทำให้เธอเดินได้ แต่เธอสามารถนั่งเอง ใช้เท้าถอดขาเทียมเอง ยืนขาเดียว (ด้วยข้างที่ยาวปกติ) กระโดดแบบกระต่ายขาเดียว ยืนขึ้นแท่น แล้วกระโดดลงน้ำได้ ผมเดินเร็วเกือบวิ่งรอบสระว่ายน้ำก็กลัวจะล้มแย่อยู่แล้ว แต่เธอสามารถกระโดดขาเดียวโดยไม่มีแขนพยุงตัวได้
เธอเปิดประตูรถเอง ใส่เทปในรถเอง ขับรถเองด้วยเท้าของเธอได้ เธอร้องเพลงอย่างไพเราะ มีพลัง มีความสุข และสามารถสะท้อนความรักเต็มเปี่ยมที่เธอมี และมีเหลือพอที่เธอจะได้แบ่งปันกับทุกคนที่มาชมคอนเสิร์ตด้วยกัน
เธอบอกว่า เธอไปประเทศต่างๆ เธอก็จะร้องเพลงของประเทศนั้น เธอเริ่มที่ญี่ปุ่น ก็พบว่าภาษาญี่ปุ่นยากมาก มีเสียงเพียง "อะ อิ อุ เอะ โอะ" แล้วก็ไปฝึกร้องภาษาเกาหลี และภาษาจีน เมื่อเธอมาฝึกภาษาไทย เธอพบทันทีว่า ภาษาญี่ปุ่นนี่ง่ายมาก (ฮา)
เธอบอกว่า อาหารไทย "อร่อยมาก" น่าชื่นใจจริงๆ ดังนั้น หากคนไทยจะอ้วนสักหน่อย ก็ไม่น่าจะต้องถูกติติงถากถางแต่อย่างใด เพราะอาหารไทยอร่อย
เธอบอกว่า "โลกเรานี้สุดแสนสวยงาม" ดังเพลง "Wonderful World" ในเพลงนั้น มีประโยคหนึ่งที่เธอชอบคือ เมื่อคนพบกัน และทักกันว่า "How do you do ?" จริงๆแล้ว เขากำลังพูดว่า "I love you." และความรักที่มอบให้แก่กัน เป็นความหมายของชีวิตจริงๆ
การที่เราอยู่ในโลกนี้ เหตุผลสำคัญที่มีอยู่เสมอคือ **การที่เรารักใคร หรือเป็นที่รักของใครบางคน นั่นคือ เราอยู่เพื่อกันและกันนั่นเอง และเมื่อเทียบกับวัฒนธรรมไทย เธอชมว่า สิ่งที่คนไทยเก่ง**คือ "การยิ้ม"สมกับเป็น "สยามเมืองยิ้ม" และเมื่อเรายิ้มให้กัน เธอก็เชื่อว่า เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น คือความหมายที่แท้จริงว่า "ฉันรักเธอ" ** หากเมืองไทยเป็นเช่นนั้น รักกันเสมอ ยิ้มให้กันเสมอ คนไทยก็จะไม่มีใครเอาเปรียบกัน ไม่มีใครเอาประโยชน์ส่วนรวม ไปเป็นประโยชน์ส่วนตน สังคมก็อยู่กันได้อย่าสงบสุข**
เมื่อออกมาจากการแสดงคอนเสิร์ต** "กำลังใจ" ที่เต็มไปด้วยความรัก ความหวัง ความสุข และกำลังใจ ก็รับทราบว่า มีการจัดม็อบที่สนามหลวง ชนกับการประชุมพันธมิตรที่หอประชุมธรรมศาสตร์**
ผมคิดว่า ผู้บริหารบ้านเมือง และผู้ทรงอิทธิพลในบ้านเมือง น่าจะช่วยกันนำบ้านเมืองในบรรยากาศที่ "คนไทยไม่มีใครเป็นศัตรูกัน" อย่าให้ใครไปโกหกชาวบ้านว่า เราจะตัดสินใคร ด้วยความรู้สึกที่ว่า "พวกเราย่อมถูก พวกเขาย่อมผิด" นั่นเป็นการสร้างความแตกแยกในบ้านเมือง ไม่มีใครควรจะมีสิทธิแบ่งแยกประเทศเช่นนั้น ผมยังจำเพลงตอนผมเด็กๆได้ว่า "คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันยุให้แตกกระจาย ... คนเช่นนั้น เป็นคนหนักแผ่นดิน"
การตัดสินเรื่องใดๆ ควรจะอยู่บนกฎหมาย หลักฐาน และเหตุผล
พรรคจะถูกยุบหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า พรรคเป็นโนมินีหรือไม่ ? กรรมการบริหารพรรคทำความผิด หรือรู้เห็นในการทำผิดหรือไม่ ? อยากไปสร้างความเชื่อว่า เพราะพรรคคนละพวก ได้คะแนนเสียงมากกว่า จึงจะถูกยุบ ลองเอาหลักฐานชี้แจงตามเนื้อหาสิครับ หากอธิบายได้ ทุกคนก็จะได้ยอมรับหลักฐานอย่างเต็มใจ สบายใจ และทุกคนจะลุกขึ้นปกป้องผู้ทำถูก และถูกรังแกอย่างเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
การทำความผิดเรื่อง** "ปกปิดโครงสร้างผู้ถือหุ้น"หรือ "ซุกหุ้น" ก็ชี้แจงกันไปตามหลักฐาน และคำอธิบายที่สมเหตุสมผล ไม่มีการเบี่ยงเบนประเด็นว่า พรรคโนมินีได้รับคะแนนเสียงมาก แสดงว่าเรื่องควรจะจบ เพราะการเลือกตั้ง** เลือกผู้นำที่ได้รับอำนาจในการบริหารบ้านเมือง "จากประชาชน และเพื่อประชาชน" ไม่ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการยุติธรรม ในการตัดสินเรื่องการปฏิบัติตามกฎหมาย การป้องกันและปราบปรามการทุจริตฉ้อราษฎร์บังหลวง
ผลเลือกตั้งออกมาแล้ว ผู้เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ยอมรับแล้ว เราก็ได้นายกรัฐมนตรีที่เป็นไปตามคะแนนเสียงเลือกตั้งแล้ว ไม่มีใครฝืนมติมหาชนที่แสดงความนิยมหรอก
แต่เช่นกัน กระบวนการยุติธรรมก็ต้องตัดสินตามกระบวนการ**โดยศาลสถิตยุติธรรม ก็ไม่ควรใช้อำนาจรัฐ อำนาจเงิน หรืออำนาจความนิยมใดๆมาบิดเบือน ให้ร้ายทำเรื่องถูกให้เป็นผิดก็ไม่ควร ทำเรื่องผิดให้เป็นถูกก็ไม่ควรเช่นกัน **กติกาคือกติกา บ้านเมืองจึงจะไปได้อย่างสงบสันติ ผลเลือกตั้งก็กำหนดสัดส่วนผู้แทนราษฎรในสภาผู้แทนฯ และ**กระบวนการยุติธรรมก็ตัดสินความถูกผิดตามหลักฐานที่มี คนไทยจึงไม่มีใครเป็นศัตรูกัน ไม่มีใครเอาเปรียบกัน ไม่มีใครทุจริตเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นส่วนตน สยามเมืองยิ้ม จะได้มีแต่รอยยิ้มอย่างเป็นมิตร** และสะท้อน "ความรักสามัคคี" ที่คนไทยมีแต่กัน บ้านเมืองก็จะก้าวหน้าได้ดียั่งยืนครับ
มนตรี ศรไพศาล
(montree4life@yahoo.com)