บล.นครหลวงไทย ฟุ้ง 5 สาขายย่อยในพื้นที่ธนาคารผลงานเกินจุดคุ้มทุนแล้ว ปีนี้เล็งเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง พร้อมตั้งเป้าเพิ่มมาร์เกตแชร์เป็น 1.50% จากต้นปีขยับมาอยู่ที่ 1.10% ด้านผู้บริหารมั่นใจผลงานปีนี้โดดเด่นกว่าปีที่แล้ว
นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานจากการเปิดสาขาข่อยในพื้นที่ของธนาคารพาณิชย์จำนวน 5 สาขา ว่า ปัจจุบันสาขาทุกแห่งถึงจุดคุ้มทุนแล้วจากต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 5 แสนบาทต่อสาขา และมีจำนวน 3 สาขาที่สามารถทำกำไรสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะสาขาสิงห์บุรีที่มีการมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 4.70 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในปี 2551 นี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาย่อยในพื้นที่ธนาคารเพิ่มอีกอย่างน้อย 10 สาขา โดยเมื่อช่วงต้นปีได้เปิดสาขาที่ศรีราชา และล่าสุดสาขานครสวรรค์ ซึ่งบริษัทได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เดินทางมามอบมุมความความรู้ (SET Corner) ในทุกสาขาที่เปิด
"บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าผู้ฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ของลูกค้าใหม่ทั้งหมด แต่การเจาะฐานลูกค้าเงินฝากยังต้องใช้เวลาพอสมควร ขณะที่การเปิดสาขาย่อยในธนาคารสาขาต่อไปคือ จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมาณพฤษภาคมนี้ ส่วนที่อื่นๆ อยู่ระหว่างกำลังพิจารณา ได้แก่ แพร่ พิษณุโลก ลำปาง ระนอง นครศรีธรรมราช และที่เชียงใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง"
ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนบัญชีการซื้อขาย 6,500 บัญชี และบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 30% ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) อยู่ที่ 1.10% ซึ่งตั้งเป้าจะเพิ่มมาร์เกตแชร์ปีนี้เป็น 1.50% รวมทั้งมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันจากปัจจุบันอยู่ที่ 10% และลูกค้ารายย่อย 90%
ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทนั้น นายสาธิต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 70% ส่วนรายได้อื่นอีก 30% และในปีนี้คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีกว่าปีที่ผ่านมาที่มีกำไรประมาณ 40 ล้านบาท หลังจากปีนี้ได้เพิ่มวงเงินการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์เป็น 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท รวมทั้งรายได้จากวาณิชธนกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
"ขณะนี้เรายังไม่มองการออกไปต่างประเทศ เพราะเห็นว่ายังไม่คุ้ม เนื่องจากเรายังไม่มีพันธมิตรที่มีศักยภาพ แต่ในอนาคตเราจะหาพันธมิตรเพื่อเชื่อมโยงเรื่องนี้ ซึ่งพันธมิตรที่จะเข้ามาจะต้องมีศักยภาพและช่วยเพิ่มช่องทางให้กับบริษัทได้ ทั้งเรื่องของงานวิจัย และการขยายช่องทางการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย" นายสาธิตกล่าว
นายสาธิต วรรณศิลปิน กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) นครหลวงไทย จำกัด เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานจากการเปิดสาขาข่อยในพื้นที่ของธนาคารพาณิชย์จำนวน 5 สาขา ว่า ปัจจุบันสาขาทุกแห่งถึงจุดคุ้มทุนแล้วจากต้นทุนเฉลี่ยประมาณ 5 แสนบาทต่อสาขา และมีจำนวน 3 สาขาที่สามารถทำกำไรสูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยเฉพาะสาขาสิงห์บุรีที่มีการมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวัน 4.70 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน ในปี 2551 นี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดสาขาย่อยในพื้นที่ธนาคารเพิ่มอีกอย่างน้อย 10 สาขา โดยเมื่อช่วงต้นปีได้เปิดสาขาที่ศรีราชา และล่าสุดสาขานครสวรรค์ ซึ่งบริษัทได้รับการสนับสนุนจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่เดินทางมามอบมุมความความรู้ (SET Corner) ในทุกสาขาที่เปิด
"บริษัทตั้งเป้าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าผู้ฝากเงินกับธนาคารมากขึ้น จากปัจจุบันมีสัดส่วนอยู่ประมาณ 20% ของลูกค้าใหม่ทั้งหมด แต่การเจาะฐานลูกค้าเงินฝากยังต้องใช้เวลาพอสมควร ขณะที่การเปิดสาขาย่อยในธนาคารสาขาต่อไปคือ จังหวัดสุรินทร์และจังหวัดชลบุรี ซึ่งคาดว่าจะเปิดประมาณพฤษภาคมนี้ ส่วนที่อื่นๆ อยู่ระหว่างกำลังพิจารณา ได้แก่ แพร่ พิษณุโลก ลำปาง ระนอง นครศรีธรรมราช และที่เชียงใหม่เพิ่มอีก 1 แห่ง"
ปัจจุบันบริษัทมีจำนวนบัญชีการซื้อขาย 6,500 บัญชี และบัญชีที่มีการซื้อขายสม่ำเสมอประมาณ 30% ส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เกตแชร์) อยู่ที่ 1.10% ซึ่งตั้งเป้าจะเพิ่มมาร์เกตแชร์ปีนี้เป็น 1.50% รวมทั้งมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าสถาบันจากปัจจุบันอยู่ที่ 10% และลูกค้ารายย่อย 90%
ด้านสัดส่วนรายได้ของบริษัทนั้น นายสาธิต กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ประมาณ 70% ส่วนรายได้อื่นอีก 30% และในปีนี้คาดว่าจะมีผลการดำเนินงานดีกว่าปีที่ผ่านมาที่มีกำไรประมาณ 40 ล้านบาท หลังจากปีนี้ได้เพิ่มวงเงินการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์เป็น 1,000 ล้านบาท จากปีก่อนอยู่ที่ประมาณ 800 ล้านบาท รวมทั้งรายได้จากวาณิชธนกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา
"ขณะนี้เรายังไม่มองการออกไปต่างประเทศ เพราะเห็นว่ายังไม่คุ้ม เนื่องจากเรายังไม่มีพันธมิตรที่มีศักยภาพ แต่ในอนาคตเราจะหาพันธมิตรเพื่อเชื่อมโยงเรื่องนี้ ซึ่งพันธมิตรที่จะเข้ามาจะต้องมีศักยภาพและช่วยเพิ่มช่องทางให้กับบริษัทได้ ทั้งเรื่องของงานวิจัย และการขยายช่องทางการลงทุนไปยังต่างประเทศด้วย" นายสาธิตกล่าว