กลุ่มทุน “ลีฟวิ่งแลนด์ฯ” สยาบปีกในธุรกิจอสังหาฯ หลังไล่เท คบมจ.นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ เป็นทางลัดเข้าตลาด ลุยลงทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยทุกประเภท ระดับกลาง-ล่าง ตั้งเป้ายอดขายแตะ 7,000 ล้านบาทภายใน 3 ปี ล่าสุดเปิดตัว เดอะเมเปิล คอนโดฯ ถึงล้านย่านสุขาภิบาล 3
นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายหลังเข้าซื้อกิจการ บริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเส้นใยสังเคราะห์และเส้นด้ายไนลอน ซึ่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทำให้มีหนี้สินกว่า 1,000 ล้านบาท จนต้องเข้าสู่กระบวนการศาลฟื้นฟูกิจการเมื่อปี 48
ล่าสุดบริษัทได้มีปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนตีทรัพย์ชำระหนี้ และขอลดหนี้จากเจ้าหนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศาลล้มละลายกลางสั่งให้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมขอกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเข้าซื้อกิจการของนครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ฯ เนื้องจากต้องการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ แต่หากไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้เพราะต้นทุนทางการเงินต่างกัน นอกจากนี้การเข้าตลาดเริ่มต้นด้วยการใช้บริษัททั่วไปจะต้องเตรียมการนานหลายปี ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้บริษัทเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯได้อย่างรวดเร็วคือการเทกโอเวอร์บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ก่อนแล้ว(Backdoor )
โดยภายหลังจากเปลี่ยนชื่อเป็นลีฟวิ่งแลนด์ ได้เข้าซื้อกิจการธุรกิจอสังหาฯ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท แทนเจอรีน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินขนาด 2 ไร่เศษ ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย ในราคา 50 ล้านบาท บริษัทที่สอง คือ บริษัทนันทภพ จำกัด เจ้าของที่ดินโครงการเรือนเจ้าพระยาริมแม่น้ำเจ้าพระยาใน จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 26 ไร่ ราคา214 ล้านบาท และบริษัท ท็อปไลน์ ลิฟวิ่ง จำกัดของนายมานพ เขียวชะอุ่ม เจ้าของโครงการเดอะโคลเวอร์ทองหล่อ, บ้านมณีคราม จ.ภูเก็ต,โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อลีฟวิ่ง และบ้านพูนสินในราคา 160 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายสร้างยอดขายให้ได้ 5,000 – 7,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนการสร้างรายได้ผ่านโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ระดับซี-บี โดยคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “เดอะ เมเปิล” ราคาเริ่มต้น 800,0000-900,000 บาท ในย่านชุมชนเมืองของกรุงเทพฯ และเดอะ โคลฟเวอร์ คอนโดมิเนียมกลางเมือง ส่วนทาวน์เฮาส์ แบรนด์ “ลีฟวิ่ง นีโอ” ระดับราคา 1.5-2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว แบรนด์ “ลีฟวิ่ง นารา” ราคา 3-4 ล้านบาท
ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยรวม 6-7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเดอะโคลฟเวอร์ ภูเก็ตคอนโดมิเนียม 7 ชั้น รวม 79 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาทเศษ มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาทำงาน และต้องการที่อยู่อาศัยใน จ.ภูเก็ต
ส่วนในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เตรียมเปิดอีก 2 โครงการ คือ เดอะเมเปิล คอนโดมิเนียมบนถนนสุขาภิบาล 3 บนเนื้อที่ 19 ไร่ เฟสแรก 4 อาคาร จำนวน 800 ยูนิต จากทั้งหมด 14 อาคาร ประมาณ 1,300 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ขนาดห้องชุดเริ่มที่ 30 ตร.ม. ราคา 8-9 แสนบาท จับกลุ่มลูกค้าห้องเช่า อพาร์ตเมนต์ในย่านรามคำแหง สุขาภิบาล ซึ่งราคาผ่อนห้องชุดอยู่ที่ประมาณ 3,000-3,500 บาทต่อเดือนใกล้เคียงกับราคาห้องเช่า
นอกจากนี้ยังมีโครงการลีฟวิ่ง นีโอ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นกว่า 300 ยูนิต ย่านถนนรามคำแหง รวมถึงยังมีบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในแบรนด์เดอะโคลฟเวอร์ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินใจกลางเมืองมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไปขณะที่ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายจากโครงการเก่าในแบรนด์พูนสินประมาณ 2,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปในธุรกิจโรงแรมด้วย โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ “ Shinning Moon” ซึ่งเป็นรีสอร์ตและพลาซ่าบนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ดินเช่าระยะยาว 30 ปีใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท มีขนาด 80 ห้อง อยู่ในระดับ 3-4 ดาวจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสสองปีนี้ แต่การลงทุนในโรงแรมนั้นมีสัดส่วนเพียงแค่ 10%ไม่ใช่ธุรกิจหลัก
นายภัทรลาภ ทวีวงศ์ ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีฟวิ่งแลนด์ แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภายหลังเข้าซื้อกิจการ บริษัท นครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายเส้นใยสังเคราะห์และเส้นด้ายไนลอน ซึ่งประสบปัญหาขาดสภาพคล่องทำให้มีหนี้สินกว่า 1,000 ล้านบาท จนต้องเข้าสู่กระบวนการศาลฟื้นฟูกิจการเมื่อปี 48
ล่าสุดบริษัทได้มีปรับโครงสร้างหนี้ ด้วยการแปลงหนี้เป็นทุนตีทรัพย์ชำระหนี้ และขอลดหนี้จากเจ้าหนี้ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวเสร็จเรียบร้อยแล้ว โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างศาลล้มละลายกลางสั่งให้ออกจากแผนฟื้นฟูกิจการ พร้อมขอกลับมาซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในไตรมาส 2 ของปีนี้
ทั้งนี้ การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นเข้าซื้อกิจการของนครหลวงเส้นใยสังเคราะห์ฯ เนื้องจากต้องการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ แต่หากไม่ได้เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ได้เพราะต้นทุนทางการเงินต่างกัน นอกจากนี้การเข้าตลาดเริ่มต้นด้วยการใช้บริษัททั่วไปจะต้องเตรียมการนานหลายปี ดังนั้นทางเดียวที่จะทำให้บริษัทเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯได้อย่างรวดเร็วคือการเทกโอเวอร์บริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯอยู่ก่อนแล้ว(Backdoor )
โดยภายหลังจากเปลี่ยนชื่อเป็นลีฟวิ่งแลนด์ ได้เข้าซื้อกิจการธุรกิจอสังหาฯ 3 บริษัท ได้แก่ บริษัท แทนเจอรีน พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินขนาด 2 ไร่เศษ ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย ในราคา 50 ล้านบาท บริษัทที่สอง คือ บริษัทนันทภพ จำกัด เจ้าของที่ดินโครงการเรือนเจ้าพระยาริมแม่น้ำเจ้าพระยาใน จ.ปทุมธานี เนื้อที่ 26 ไร่ ราคา214 ล้านบาท และบริษัท ท็อปไลน์ ลิฟวิ่ง จำกัดของนายมานพ เขียวชะอุ่ม เจ้าของโครงการเดอะโคลเวอร์ทองหล่อ, บ้านมณีคราม จ.ภูเก็ต,โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้ชื่อลีฟวิ่ง และบ้านพูนสินในราคา 160 ล้านบาท
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทมีเป้าหมายสร้างยอดขายให้ได้ 5,000 – 7,000 ล้านบาท ภายใน 2-3 ปีข้างหน้า ภายใต้แผนการสร้างรายได้ผ่านโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ระดับซี-บี โดยคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ “เดอะ เมเปิล” ราคาเริ่มต้น 800,0000-900,000 บาท ในย่านชุมชนเมืองของกรุงเทพฯ และเดอะ โคลฟเวอร์ คอนโดมิเนียมกลางเมือง ส่วนทาวน์เฮาส์ แบรนด์ “ลีฟวิ่ง นีโอ” ระดับราคา 1.5-2 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว แบรนด์ “ลีฟวิ่ง นารา” ราคา 3-4 ล้านบาท
ส่วนแผนการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยรวม 6-7 โครงการ ประกอบด้วย โครงการเดอะโคลฟเวอร์ ภูเก็ตคอนโดมิเนียม 7 ชั้น รวม 79 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1 ล้านบาทเศษ มูลค่าโครงการ 200 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศ ซึ่งเข้ามาทำงาน และต้องการที่อยู่อาศัยใน จ.ภูเก็ต
ส่วนในวันที่ 13 มี.ค.นี้ เตรียมเปิดอีก 2 โครงการ คือ เดอะเมเปิล คอนโดมิเนียมบนถนนสุขาภิบาล 3 บนเนื้อที่ 19 ไร่ เฟสแรก 4 อาคาร จำนวน 800 ยูนิต จากทั้งหมด 14 อาคาร ประมาณ 1,300 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ขนาดห้องชุดเริ่มที่ 30 ตร.ม. ราคา 8-9 แสนบาท จับกลุ่มลูกค้าห้องเช่า อพาร์ตเมนต์ในย่านรามคำแหง สุขาภิบาล ซึ่งราคาผ่อนห้องชุดอยู่ที่ประมาณ 3,000-3,500 บาทต่อเดือนใกล้เคียงกับราคาห้องเช่า
นอกจากนี้ยังมีโครงการลีฟวิ่ง นีโอ ทาวน์เฮ้าส์ 2 ชั้นกว่า 300 ยูนิต ย่านถนนรามคำแหง รวมถึงยังมีบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมในแบรนด์เดอะโคลฟเวอร์ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินใจกลางเมืองมูลค่าโครงการเกิน 1,000 ล้านบาทขึ้นไปขณะที่ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะมียอดขายจากโครงการเก่าในแบรนด์พูนสินประมาณ 2,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม บริษัทยังได้ขยายการลงทุนไปในธุรกิจโรงแรมด้วย โดยอยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการ “ Shinning Moon” ซึ่งเป็นรีสอร์ตและพลาซ่าบนเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นที่ดินเช่าระยะยาว 30 ปีใช้เงินลงทุน 200 ล้านบาท มีขนาด 80 ห้อง อยู่ในระดับ 3-4 ดาวจะเปิดดำเนินการได้ในไตรมาสสองปีนี้ แต่การลงทุนในโรงแรมนั้นมีสัดส่วนเพียงแค่ 10%ไม่ใช่ธุรกิจหลัก