TCCC ขายเงินลงทุนในเหล็กบูรพาอุตสาหกรรม 40 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 5 บาท เป็นเงิน 200 ล้านบาท ให้แก่ MILLโดยมีเงื่อนไขต้องชำระคืนหนี้เงินกู้ 100 ล้านบาท และรับช่วงหรือปลดภาระค้ำประกันวงเงิน 345 ล้าน ก่อนวันรับโอนหุ้น เพื่อลดภาระการให้ความช่วยเหลือ ส่งผลให้บริษัทเหลือเพียง 2 ธุรกิจ ขณะที่ผลงานงวดสิ้นปี 50 ยังมีผลขาดทุน เพราะการผลิตต่ำกว่าจุดคุ้มทุน
นายธีระวัฒน์ เนืองนอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/51 เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 51 อนุมัติการขายเงินลงทุนทั้งจำนวนในหุ้นสามัญ ของ บริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรมจำกัด (BRP) จำนวน 40 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 5 บาท มูลค่ารวม 200 ล้านบาท ให้กับบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (MILL) ซึ่งมิใช่บุคคลเกี่ยวโยงกัน โดยกำหนดให้ผู้ซื้อชำระคืนหนี้เงินกู้ที่บริษัทให้ความช่วยเหลือแก่ BRP จำนวน 100 ล้านบาท แทน BRP และรับช่วงหรือปลดภาระค้ำประกันวงเงิน 345 ล้านบาท ที่ TCC ให้ไว้ต่อธนาคารผู้ให้สินเชื่อแก่ BRP ก่อนหรือในวันรับโอนกรรมสิทธิ์หุ้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการจัดสรรเงินทุนของกิจการให้เกิดประโยชน์สูงขึ้น และช่วยลดภาระในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ BRP ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากวิกฤติความผันผวนของราคาเหล็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภายหลังการขายหุ้น BRP บริษัทจะคงเหลือเฉพาะธุรกิจเครื่องปรับอากาศ และธุรกิจค้าถ่านหินที่เริ่มดำเนินการปลายเดือนมกราคม 51 เป็นต้นมา
สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าบริษัทปี 51 จะได้จากธุรกรรมค้าถ่านหิน ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักในช่วงแรกจะเน้นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียงจุดจ่ายสินค้าของบริษัทแถบจังหวัดสมุทรสาคร คาดปริมาณขายเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 50,000 ตัน ส่วนธุรกิจเครื่องปรับอากาศ ช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน ทำให้ปริมาณการผลิตต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเร่งศึกษาและวิเคราะห์แนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พร้อมแจ้งผลการดำเนินปี 50 ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 49.58 ล้านบาท ลดลง 136.43 ล้านบาท จากผลขาดทุนสุทธิ 186.01 ล้านบาทในปีก่อน หรือคิดเป็น 73.35% สวนทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากเหล็กบูรพาเต็มปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายรายการพิเศษลดลง แต่จากระดับปริมาณการผลิตโดยเฉลี่ยของบริษัทและบริษัทย่อยที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนและภาวะการขาดแคลนวัตถุดิบ Billet ภายในประเทศ และความผันผวนและปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาเหล็ก ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทในปี 50 ยังคงขาดทุน และดำเนินการฟ้องร้องกับลูกหนี้ที่พบความผิดปกติ
กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 51 ในวันที่ 10 เมษายน 51 โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 51 ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 51 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมจะแล้วเสร็จ
นายธีระวัฒน์ เนืองนอง กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทย แคปปิตอล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCC แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 3/51 เมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 51 อนุมัติการขายเงินลงทุนทั้งจำนวนในหุ้นสามัญ ของ บริษัท เหล็กบูรพาอุตสาหกรรมจำกัด (BRP) จำนวน 40 ล้านหุ้น ราคาพาร์ 5 บาท มูลค่ารวม 200 ล้านบาท ให้กับบริษัท มิลล์คอนสตีลอินดัสทรีส์ จำกัด (มหาชน) (MILL) ซึ่งมิใช่บุคคลเกี่ยวโยงกัน โดยกำหนดให้ผู้ซื้อชำระคืนหนี้เงินกู้ที่บริษัทให้ความช่วยเหลือแก่ BRP จำนวน 100 ล้านบาท แทน BRP และรับช่วงหรือปลดภาระค้ำประกันวงเงิน 345 ล้านบาท ที่ TCC ให้ไว้ต่อธนาคารผู้ให้สินเชื่อแก่ BRP ก่อนหรือในวันรับโอนกรรมสิทธิ์หุ้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการจัดสรรเงินทุนของกิจการให้เกิดประโยชน์สูงขึ้น และช่วยลดภาระในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ BRP ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนหมุนเวียนสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากวิกฤติความผันผวนของราคาเหล็กที่มีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยภายหลังการขายหุ้น BRP บริษัทจะคงเหลือเฉพาะธุรกิจเครื่องปรับอากาศ และธุรกิจค้าถ่านหินที่เริ่มดำเนินการปลายเดือนมกราคม 51 เป็นต้นมา
สำหรับปีนี้ บริษัทคาดว่าบริษัทปี 51 จะได้จากธุรกรรมค้าถ่านหิน ซึ่งกลุ่มลูกค้าหลักในช่วงแรกจะเน้นกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมในบริเวณใกล้เคียงจุดจ่ายสินค้าของบริษัทแถบจังหวัดสมุทรสาคร คาดปริมาณขายเฉลี่ยต่อเดือนประมาณ 50,000 ตัน ส่วนธุรกิจเครื่องปรับอากาศ ช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบทั้งจากปัจจัยภายนอกและภายใน ทำให้ปริมาณการผลิตต่ำกว่าจุดคุ้มทุน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเร่งศึกษาและวิเคราะห์แนวทางดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
พร้อมแจ้งผลการดำเนินปี 50 ว่าบริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 49.58 ล้านบาท ลดลง 136.43 ล้านบาท จากผลขาดทุนสุทธิ 186.01 ล้านบาทในปีก่อน หรือคิดเป็น 73.35% สวนทางรายได้ที่เพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการรับรู้รายได้จากเหล็กบูรพาเต็มปี ขณะที่ค่าใช้จ่ายรายการพิเศษลดลง แต่จากระดับปริมาณการผลิตโดยเฉลี่ยของบริษัทและบริษัทย่อยที่ต่ำกว่าจุดคุ้มทุนและภาวะการขาดแคลนวัตถุดิบ Billet ภายในประเทศ และความผันผวนและปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของราคาเหล็ก ทำให้ผลประกอบการของกลุ่มบริษัทในปี 50 ยังคงขาดทุน และดำเนินการฟ้องร้องกับลูกหนี้ที่พบความผิดปกติ
กำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 51 ในวันที่ 10 เมษายน 51 โดยกำหนดวันปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น เพื่อสิทธิในการเข้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 51 ตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 51 เวลา 12.00 น. จนกว่าการประชุมจะแล้วเสร็จ