xs
xsm
sm
md
lg

QH ออกหุ้นกู้รับ ดบ.ขาลง ล็อตแรก มี.ค.นี้ 2 พันล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“คิวเฮ้าส์” เล็งขออนุมัติผู้ถือหุ้นออกหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท แจงคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนด ก.ย.นี้ 1,500 ล้าน และอีก 1,500 ล้าน ในปี 2552 ยันไม่หวั่นภาวะเศรษฐกิจโลกดิ่งเหว เดินหน้าออกหุ้นกู้ล็อตแรก 2,000 ล้านบาท เดือน มี.ค.นี้ ชี้ เฟดลดดอกเบี้ยต่างชาติแห่ลงทุนในไทยเพียบ เผยแผนลงทุนโครงการใหม่ 11 โครงการ มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท ให้น้ำหนักแบรนด์คาซ่า ราคา 3-5 ล้านบาท ถึง 7 โครงการ

นายรัตน์ พานิชพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH เปิดเผยว่า เตรียมขออนุมัติที่ประชุมผู้ถือหุ้นในการออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท คาดว่า จะสามารถดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 2551 นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมออกหุ้นกู้ในเดือนมีนาคม 2551 นี้จำนวน 2,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในเดือนกันยายนนี้ จำนวน 1,500 ล้านบาท และในปี 2552 อีกจำนวน 1,500 ล้านบาท ส่วนเม็ดเงินที่เหลือจะนำมาเป็นเงินลงทุนเพื่อพัฒนาโครงการต่อไป

ทั้งนี้ การออกหุ้นกู้ในช่วงนี้ถือว่าเหมาะสมที่สุด เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 3.0% เท่านั้น ขณะที่ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ระดับ 3.25% อีกทั้ง ค่าเงินดอลลาร์ยังอ่อนค่าลงอย่างมาก ทำให้นักลงทุนเริ่มนำเงินมาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น คาดว่า หุ้นกู้ที่จะออกใหม่นี้จะมีผลตอบแทนอยู่ที่ระดับ 4% ระยะเวลา 3 ปี

“ตอนนี้เป็นช่วงที่เหมาะสมที่สุดที่จะออกหุ้นกู้ เพราะดอกเบี้ยถูก ส่วนกรณีวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ที่หลายฝ่ายกลัวกันนั้น เชื่อว่า ไม่น่าจะมีผลกระทบกลับเป็นผลดี เพราะดอกเบี้ยเราสูงกว่า ทำให้นักลงทุนหันมาลงทุนในแถบเอเชียมากขึ้น อีกอย่างเรามีอันเดอร์ไรเตอร์ที่รับประกันการขายให้อยู่แล้ว ถ้าขายหุ้นไม่หมดทางผู้จัดจำหน่ายต้องรับภาระไป” นายรัตน์ กล่าว

**ลุยเปิดใหม่ 11 โครงการมูลค่า 16,930 ล้าน**

สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทในปี 2551 นี้ เตรียมพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม จำนวน 11 โครงการ มูลค่ารวม 16,930 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวในแบรนด์ลัดดารมย์ 4 โครงการ ได้แก่ 1.ลัดดารมย์ Elegance เกษตร-นวมินทร์ จำนวน 123 ยูนิต มูลค่า 1,400 ล้านบาท 2.ลัดดารมย์ Elegance ราชพฤกษ์-พระราม 5 จำนวน 149 ยูนิต 2,300 ล้านบาท 3.ลัดดารมย์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 2 จำนวน 197 ยูนิต มูลค่า 1,890 ล้านบาท และ 4.ลัดดารมย์ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ จำนวน 235 ยูนิต มูลค่า 2,010 ล้านบาท

ส่วนอีก 7 โครงการ เป็นแบรนด์ คาซ่า ระดับราคา 3-5 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว แบรนด์ คาซ่า วิลล์ 5 โครงการ ได้แก่ 1.แบรนด์ คาซ่าวิลล์ ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ 2 จำนวน 330 มูลค่า 1,740 ล้านบาท 2.คาซ่าวิลล์ ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ จำนวน 618 ยูนิต มูลค่า 2,510 ล้านบาท 3.คาซ่าวิลล์ วัชรพล 3 จำนวน 422 ยูนิต มูลค่า 1,750 ล้านบาท 4.คาซ่าวิลล์ บางนา-สุวรรณภูมิ 258 ยูนิต มูลค่า 1,140 ล้านบาท ส่วนโครงการทาวน์โฮมภายใต้แบรนด์คาซ่า ซิตี้ มี 2 โครงการ ได้แก่ คาซ่า ซิตี้ เอกมัย-รามอินทรา สุคนธสวัสดิ์ 2 จำนวน 94 ยูนิต มูลค่า 350 ล้านบาท และคาซ่า ซิตี้ เอกมัย -รามอินทรา นวลจันทร์ 2 จำนวน 121 ยูนิต มูลค่า 540 ล้านบาท

“ปีนี้เราเปิดบ้านหรูเฉพาะแบรนด์ลัดดารมย์ เนื่องจากแบรนด์อื่นๆ ยังมีสินค้าเหลือขายอยู่ และหันไปเน้นแบรนด์คาซ่ามากขึ้น เพื่อรองรับกับกำลังซื้อของตลาด แต่เชื่อว่าปีนี้เราจะมียอดขายที่ดีกว่าปีที่ผ่านมา เพราะบ้านค้างสตอกของบริษัทได้ขายไปหมดแล้วตั้งแต่ปี 2549-ต้นปี 2550 หลังจากนั้น เป็นสินค้าใหม่ต้นทุนใหม่ ซึ่งสะท้อนในยอดขายของไตรมาส 4 ปีที่แล้วสูงกว่า 4,000 ล้านบาท” นายรัตน์ กล่าว

**ผุดคอนโดฯ ตร.ม.ละเกือบ 2 แสน**

นายรัตน์ กล่าวว่า นอกจากการพัฒนาโครงการในแนวราบแล้ว บริษัทยังมีคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างพัฒนาอีก 2 โครงการ ได้แก่ คิวเฮ้าส์ คอนโด สาทร จำนวน 534 ยูนิต มูลค่า 2,150 ล้านบาท พัฒนาในรูปแบบสร้างเสร็จก่อนขาย และ คาซ่า คอนโด รัชดา-ท่าพระ 274 ยูนิต มูลค่า 470 ล้านบาท ทั้ง 2 โครงการ คาดว่า จะเปิดขายในต้นปี 2552

สำหรับแผนการดำเนินงานในปี 2551 บริษัทตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ประมาณ 12,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2550 ประมาณ 20% แบ่งเป็นรายได้จากการขายบ้านเดี่ยว 10,500 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่าอาคารสำนักงานและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ 1,500 ล้านบาท ส่วนรายได้ในปี 2550 ประมาณ 10,600 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 9,000-9,100 ล้านบาท และรายได้จากการให้เช่า 1,200 ล้านบาท

นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปลี่ยนโครงการ Ceter point Langsuan จากรูปแบบเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ให้เป็นคอนโดมิเนียมขนาด 38 ชั้น จำนวน 209 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า โครงการรวม 3,000 ล้านบาท โดยมีพื้นที่ขาย 17,000 ตารางเมตร (ตร.ม.) ระดับราคาขาย 180,000 บาทต่อตร.ม. โดยขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2552 และจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2552 เช่นกัน

อย่างไรก็ตาม รายได้จากคอนโดมิเนียมจะยังไม่ใช่รายได้หลักของบริษัท โดยคิดเป็น 20-30% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัท ส่วนโครงการในแนวราบ บริษัทได้เตรียมงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ที่ 3,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการขึ้นโครงการใหม่ในปี 2552-2553 อีกอย่างน้อย 13 แปลง
กำลังโหลดความคิดเห็น