เอ็มดีแบงก์ไทยพาณิชย์ชี้ธุรกิจธนาคารพาณิชย์ไทยปีนี้ขยายตัว 4.5-5.0% ส่วนการแข่งขันจะยังคงรุนแรงอย่างต่อเนื่อง ชี้ดอกเบี้ยเงินฝากเริ่มเข้าสู่ช่วงขาขึ้น ด้านเงินกู้ยังไม่สามารถระบุได้เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานปีนี้ตั้งเป้าขยายสินเชื่อสุทธิ 1 แสนล้าน กดเอ็นพีแอลเหลือ 5 %
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจพาณิชย์ในปีนี้ ว่า สินเชื่อรวมจะมีการขยายตัวประมาณ 4.5-5.0% ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการขยายตัวที่ 4.5% ส่วนการแข่งขันจะยังคงมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และการให้บริการจากธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ
รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันในส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมเงินเฟ้อของทางการ อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะเป็นส่วนที่มีการขยับขึ้นเป็นสิ่งแรก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม โดยจะเห็นได้จากการที่ธนาคารต่าง ๆ เริ่มมีการออกแคมเปญเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงพิเศษ และในช่วงท้ายปีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปกติก็จะมีการขยับขึ้นตาม
"ดอกเบี้ยเงินฝากคงจะค่อย ๆ ขึ้นแม้ว่าแบงก์ชาติจะยังไม่ปรับขึ้น แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มมีการออกแคมเปญมาแล้ว รวมถึงตอนนี้หากดูสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากซึ่งมีค่อนข้างสูงก็ยิ่งทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากคงไม่ลงแล้ว โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะแรกจะอยู่ในรูปของการออกแคมเปญเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษมากกว่า ซึ่งไทยพาณิชย์เองก็มีแคมเปญคอมโบ้ เซท แต่ระยะหนึ่งก็คงจะมีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากธรรมดาตามมา ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะปรับขึ้นหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย"นางกรรณิกากล่าว
ส่วนกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในด้านการธนาคารที่จะส่งผลต่อโอกาสทางธุรกิจและอาจส่งผลกระทบถึงเงินกองทุนของธนาคารนั้น ประกอบด้วย กฎเกณฑ์ Basel II ที่จะเริ่มใช้ในเดือนธันวาคมปีนี้ รวมถึงการกำกับแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) และการประกันเงินฝาก โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์คาดว่าจากการให้เกณฑ์ Basel II นั้นจะมีผลต่อเงินกองทุนของธนาคารประมาณ 2% แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากธนาคารได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกฎเกณฑ์ใหม่ไว้หมดแล้ว
นางกรรณิกา กล่าวว่า เป้าหมายการดำเนินงานในปี 2551 นั้น ธนาคารคาดว่าจะขยายสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 12-15 % หรือเป็นเม็ดเงินสุทธิประมาณ 100,000 ล้านบาท จากปีก่อนขยายตัวอยู่ที่ 16% อัตราผลตอบแทนต่อทุน (ROE) จะอยู่ที่ 17% จากปีก่อนอยู่ที่ 16.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM) อยู่ที่ 3.5-3.7% จากปีก่อน 3.8% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ค่าธรรมเนียม 17-20% จากปีก่อนอยู่ที่ 16% อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ 52% จากปีก่อน 53%
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ธนาคารตั้งเป้าหมายจะลดลงให้เลือก 5% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 6.1% โดยจะใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้และการขายออกซึ่งคาดว่าในปีนี้จะขายออกไปประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายจะเริ่มสาขาอีก 70 สาขา โดยสิ้นปีจะอยู่ที่ 944 สาขา และคาดว่าในปีหน้าจะมีถึง 1,000 สาขา และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนเครื่องเอทีเอ็มอีก 1,000 เครื่อง ซึ่งจะทำให้สิ้นปีมีเครื่องเอทีเอ็มทั้งสิ้น 5,883 เครื่อง
"ตัวเลขเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อนั้นดูลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 12-15% จากปีก่อน 16% นั้นถ้าดูเม็ดเงินแล้วใกล้เคียงกัน แต่ที่ดูเหมือนลดลงก็เพราะว่าฐานลูกค้ามีจำนวนที่มากขึ้น ส่วน NIM ลดลงเพราะดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นซึ่งธนาคารจะทำการลดในส่วนของต้นทุนลงเพื่อไม่ให้กระทบต่อผลประกอบการ ส่วนการเปิดสาขาและเครื่องเอทีเอ็มนั้นจะยังเปิดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะส่วนที่เป็นช้อปปิ้งมอลล์เพื่อครองการให้บริการอันดับ 1 " นางกรรณิกากล่าว
สำหรับกลยุทธ์หลักของธนาคารในปีนี้ ประกอบด้วย การเสริมความแข็งแกร่งด้านกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการขยายตัวที่12% รวมถึงขยายฐานลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีการขยายตัว 20% และการสร้างธุรกิจลูกค้าบุคคลจากฐานเก่าที่แข็งแกร่ง การเสริมสร้างระบบบริหารความเสี่ยงและการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน
นางกรรณิกา กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 4.5-5.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีการขยายตัว 4.6% โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและโครงการลงทุนขนาดใหญ่รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรก็เชื่อว่าโดยรวมแล้วเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตามองคือ เสถียรภาพและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และความแปรปวนของปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทส เช่น วิกฤตการณ์ซับไพรม์ ราคาน้ำมัน และสถานการณ์ด้านการเมืองในภูมิภาค
"การส่งออกคงมีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญคือเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะจริงๆ คนมีเงินแต่พอไม่เชื่อมั่นก็เลยไม่อยากใช้สอย แต่โดยรวมปีนี้เศรษฐกิจคงดีขึ้น ถ้าเมกะโปรเจกซ์ รถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน จากเริ่มได้เร็วก็จะช่วยให้ผลกระทบจากปัจจัยที่เกิดจากนอกประเทศนั้นส่งผลต่อเราน้อยลง ส่วนค่าเงินบาทก็คงยังแข็งขึ้นแน่ ก็อยู่ที่ค่าเงินดอลลาร์จะหยุดอ่อนค่าลงเมื่อไหร่" นางกรรณิกากล่า
นางกรรณิกา ชลิตอาภรณ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB เปิดเผยถึงภาพรวมของธุรกิจพาณิชย์ในปีนี้ ว่า สินเชื่อรวมจะมีการขยายตัวประมาณ 4.5-5.0% ซึ่งสูงขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการขยายตัวที่ 4.5% ส่วนการแข่งขันจะยังคงมีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่องทั้งในแง่ของผลิตภัณฑ์และการให้บริการจากธนาคารพาณิชย์ไทยและธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ
รวมถึงอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากแรงกดดันในส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยและการควบคุมเงินเฟ้อของทางการ อย่างไรก็ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากจะเป็นส่วนที่มีการขยับขึ้นเป็นสิ่งแรก แม้ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)จะยังไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก็ตาม โดยจะเห็นได้จากการที่ธนาคารต่าง ๆ เริ่มมีการออกแคมเปญเงินฝากที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงพิเศษ และในช่วงท้ายปีอัตราดอกเบี้ยเงินฝากปกติก็จะมีการขยับขึ้นตาม
"ดอกเบี้ยเงินฝากคงจะค่อย ๆ ขึ้นแม้ว่าแบงก์ชาติจะยังไม่ปรับขึ้น แต่ตอนนี้ตลาดเริ่มมีการออกแคมเปญมาแล้ว รวมถึงตอนนี้หากดูสัดส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากซึ่งมีค่อนข้างสูงก็ยิ่งทำให้ดอกเบี้ยเงินฝากคงไม่ลงแล้ว โดยการปรับขึ้นดอกเบี้ยระยะแรกจะอยู่ในรูปของการออกแคมเปญเงินฝากดอกเบี้ยพิเศษมากกว่า ซึ่งไทยพาณิชย์เองก็มีแคมเปญคอมโบ้ เซท แต่ระยะหนึ่งก็คงจะมีการปรับดอกเบี้ยเงินฝากธรรมดาตามมา ส่วนดอกเบี้ยเงินกู้นั้นจะปรับขึ้นหรือไม่ ไม่สามารถตอบได้เพราะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย"นางกรรณิกากล่าว
ส่วนกฎเกณฑ์ใหม่ๆ ในด้านการธนาคารที่จะส่งผลต่อโอกาสทางธุรกิจและอาจส่งผลกระทบถึงเงินกองทุนของธนาคารนั้น ประกอบด้วย กฎเกณฑ์ Basel II ที่จะเริ่มใช้ในเดือนธันวาคมปีนี้ รวมถึงการกำกับแบบรวมกลุ่ม (Consolidated Supervision) และการประกันเงินฝาก โดยในส่วนของธนาคารไทยพาณิชย์คาดว่าจากการให้เกณฑ์ Basel II นั้นจะมีผลต่อเงินกองทุนของธนาคารประมาณ 2% แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากธนาคารได้มีการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับกฎเกณฑ์ใหม่ไว้หมดแล้ว
นางกรรณิกา กล่าวว่า เป้าหมายการดำเนินงานในปี 2551 นั้น ธนาคารคาดว่าจะขยายสินเชื่ออยู่ที่ระดับ 12-15 % หรือเป็นเม็ดเงินสุทธิประมาณ 100,000 ล้านบาท จากปีก่อนขยายตัวอยู่ที่ 16% อัตราผลตอบแทนต่อทุน (ROE) จะอยู่ที่ 17% จากปีก่อนอยู่ที่ 16.5% ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย(NIM) อยู่ที่ 3.5-3.7% จากปีก่อน 3.8% การเติบโตของรายได้ที่มิใช่ค่าธรรมเนียม 17-20% จากปีก่อนอยู่ที่ 16% อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ 52% จากปีก่อน 53%
ส่วนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ธนาคารตั้งเป้าหมายจะลดลงให้เลือก 5% จากสิ้นปีก่อนอยู่ที่ 6.1% โดยจะใช้วิธีการบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเพื่อป้องกันการเกิดเอ็นพีแอลใหม่ การปรับโครงสร้างหนี้และการขายออกซึ่งคาดว่าในปีนี้จะขายออกไปประมาณ 10,000 ล้านบาท นอกจากนี้ธนาคารตั้งเป้าหมายจะเริ่มสาขาอีก 70 สาขา โดยสิ้นปีจะอยู่ที่ 944 สาขา และคาดว่าในปีหน้าจะมีถึง 1,000 สาขา และตั้งเป้าหมายเพิ่มจำนวนเครื่องเอทีเอ็มอีก 1,000 เครื่อง ซึ่งจะทำให้สิ้นปีมีเครื่องเอทีเอ็มทั้งสิ้น 5,883 เครื่อง
"ตัวเลขเป้าหมายการขยายตัวของสินเชื่อนั้นดูลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 12-15% จากปีก่อน 16% นั้นถ้าดูเม็ดเงินแล้วใกล้เคียงกัน แต่ที่ดูเหมือนลดลงก็เพราะว่าฐานลูกค้ามีจำนวนที่มากขึ้น ส่วน NIM ลดลงเพราะดอกเบี้ยเงินฝากขึ้นซึ่งธนาคารจะทำการลดในส่วนของต้นทุนลงเพื่อไม่ให้กระทบต่อผลประกอบการ ส่วนการเปิดสาขาและเครื่องเอทีเอ็มนั้นจะยังเปิดอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะส่วนที่เป็นช้อปปิ้งมอลล์เพื่อครองการให้บริการอันดับ 1 " นางกรรณิกากล่าว
สำหรับกลยุทธ์หลักของธนาคารในปีนี้ ประกอบด้วย การเสริมความแข็งแกร่งด้านกลุ่มลูกค้าธุรกิจขนาดใหญ่ ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีการขยายตัวที่12% รวมถึงขยายฐานลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าปีนี้จะมีการขยายตัว 20% และการสร้างธุรกิจลูกค้าบุคคลจากฐานเก่าที่แข็งแกร่ง การเสริมสร้างระบบบริหารความเสี่ยงและการเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการทำงาน
นางกรรณิกา กล่าวอีกว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้น่าจะมีการขยายตัวอยู่ที่ประมาณ 4.5-5.0% เมื่อเทียบกับปีก่อนซึ่งมีการขยายตัว 4.6% โดยมีปัจจัยสนับสนุน ได้แก่ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ รวมถึงการใช้จ่ายของภาครัฐที่เพิ่มขึ้นและโครงการลงทุนขนาดใหญ่รวมถึงมาตรการอื่น ๆ ซึ่งแม้ว่ารัฐบาลใหม่ที่จะเข้ามานั้นจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรก็เชื่อว่าโดยรวมแล้วเศรษฐกิจในปีนี้น่าจะดีกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนปัจจัยเสี่ยงที่น่าจับตามองคือ เสถียรภาพและนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และความแปรปวนของปัจจัยเสี่ยงภายนอกประเทส เช่น วิกฤตการณ์ซับไพรม์ ราคาน้ำมัน และสถานการณ์ด้านการเมืองในภูมิภาค
"การส่งออกคงมีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ที่สำคัญคือเรื่องของความเชื่อมั่น เพราะจริงๆ คนมีเงินแต่พอไม่เชื่อมั่นก็เลยไม่อยากใช้สอย แต่โดยรวมปีนี้เศรษฐกิจคงดีขึ้น ถ้าเมกะโปรเจกซ์ รถไฟฟ้าใต้ดิน บนดิน จากเริ่มได้เร็วก็จะช่วยให้ผลกระทบจากปัจจัยที่เกิดจากนอกประเทศนั้นส่งผลต่อเราน้อยลง ส่วนค่าเงินบาทก็คงยังแข็งขึ้นแน่ ก็อยู่ที่ค่าเงินดอลลาร์จะหยุดอ่อนค่าลงเมื่อไหร่" นางกรรณิกากล่า