“กลุ่มมณียา” งัดโครงการเก่าปัดฝุ่นหลังเคลียร์ใกล้หมด ทุ่ม 2,200 ล้านผุดโรงแรมหรู เรเนซอง เชนมาริออท จำนวน 400 ห้อง พ่วงคอนโดมิเนียมอีก 60 ยูนิต พร้อมร่วมทุนมาเลเซียผุดอาคารสำนักงานด้านข้างโรงแรมแกรนด์ไฮเอท มูลค่าเกลือ 4,500 ล้านบาท ล่าสุดจับมือกลุ่มมาลีนนท์ผุดคอนโดฯ ย่านเขาเต่าอ.หัวหิน
ม.ร.ว.ทินศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท มณียาเรียลตี้ เปิดเผยถึงแผนดำเนินธุรกิจของกลุ่มมณียาว่า ภายหลังจากประสบปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจนทำให้มีหนี้สินสูงกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ทยอยใช้หนี้ไปจนกระทั่งในปัจจุบันมีหนี้ที่มาจากอดีตเหลือประมาณ 200-300 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดได้ร่วมทุนกับกลุ่มมาลีนนท์เพื่อพัฒนาโครงการ มาลิบู บริเวณเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ภายใต้บริษัทเอ็มทะเล จำกัด พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 180 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.9-11.4 พร้อมด้วยวิลล่าอีก 4 หลัง ราคา 31-34 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,200 ล้าน บาท โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 20 กว่ายูนิต โดยเฉพาะวิลล่าขายหมดแล้วทั้ง 4 ยูนิต
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทมณียายังอยู่ระหว่างพัฒนาโรงแรมหรู 5 ดาว ตั้งอยู่ด้านข้างอาคาร มณียาเซ็นเตอร์ ย่านเพลินจิตโดยรูปแบบจะเป็นโรงแรมหรูภายใต้ชื่อ “เรเนซอง” เชนบริหารของแมริออท จำนวน 400 ห้อง ภายในโครงการดังกล่าวยังแบ่งพื้นที่บางส่วนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อขายสัญญาเช่า 30 ปีจำนวน 60 ยูนิต ภายใต้ชื่อ รอยัลมณียา เอ็กเซ็กครูซีฟ เรสซิเดนท์ ราคาประมาณ 1 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนมูลค่าก่อสร้างประมาณ 2,200 ล้านบาท ส่วนมูลค่าโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 51 หรือต้นปี 52
ส่วนโครงการรอยัลราชดำริ บนถนนราชดำริด้านข้างโรงแรมแกรนดไฮแอท บนเนื้อที่ 6 ไร่ ซึ่งเป็นที่เช่าจากสำนักทรัพย์สินส่วนประมหากษัตริย์ต่อจากสมาคมศิษย์เก่าเทพศิรินทร์ โดยโครงการดังกล่าวได้ชะลอการพัฒนามาตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40
ล่าสุดได้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้หากลุ่มทุนใหม่เข้ามาร่วมลงทุน โดยก่อตั้งบริษัท ราชเพลิน จำกัดเมื่อปี 2549 เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อเนื่อง ส่วนผู้ร่วมทุนประกอบด้วย บริษัทซีแลน คอร์ปอเรชั่น เอสดีเอ็น บีเอสดี จำกัด กลุ่มทุนสัญชาติมาเลเซีย, บริษัทสหการ ซีแลน (ประเทศไทยจำกัด), บริษัททีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มาชน) ทั้งนี้เดิมบริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมหรูและอาคารสำนักงาน แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นโครงการสำนักงานเพียงอย่างเดียว แต่จะสร้างเป็น 2 อาคาร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ เนื้อที่ประมาณ 20,000 ตร.ม. มูลค่าโครงการ 4,000-4,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินการก่อสร้างปี 2551 คาดแล้วเสร็จในปี 2553 โครงการดังกล่าวมีระยะเวลา 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2549
ม.ร.ว.ทินศักดิ์ กล่าวว่าตนยังมีที่ดินแลนด์แบงก์อีกหลายแปลงโดยส่วนใหญ่ตังอยู่ในย่านเพลินจิต รวม 13-14 ไร่ นอกจากนี้ยังมีในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีกจำนวน ส่วนที่ดินบริเวณลานจอดรถและล้านเบอเกอร์คิง บนถนนเพลินจิตนั้น ขณะนี้ยังไม่แผนที่พัฒนาเนื่องจากต้องการรอให้ความชัดเจนด้านการเมืองรวมถึงเศรษฐกิจฟื้นตัว และศักยภาพของที่ดินแปลงนั้นๆ
“ตอนนี้ยังมีแรงอยู่ก็ยากจะดึงที่ดินออกมาพัฒนา ก่อนที่จะหมดแรงหลังจากนี้ก็คงต้องให้ลุกๆมาดูแทน”
ด้านม.ร.ว. ดำรงดิศ ดิศกุล กรรมการ บริษัทฯ กล่าวว่า การลงทุนของกลุ่มมณียาจะเน้นลงทุนที่ละโครงการ เมื่อดำเนินโครงการแรกไปแล้ว 80% ก็จะเริ่มโครงการใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรูปแบบการลงทุนจะเป็นทั้งร่วมทุนและลงทุนเองขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละโครงการ
แม้ว่ามณียาจะมีหนี้เหลือเพียง 200-300 ล้านบาท แต่จากการลงทุนในหลายโครงการทำให้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 3 : 1 ทั้งนี้ม.ร.ว.ดำรงดิศ กล่าวว่าหากบริษัทขายคอนโดมิเนียมในโครงการรอยัลมณียา เอ็กเซ็กครูซีฟ เรสซิเดนท์ ไปได้และนำเงินมาใช้หนี้จะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนลดลงเกือบ 50% หรือประมาณ 1.5 : 1 ส่วนหนี้ใหม่ที่กู้มาลงทุนเพิ่มปัจจุบันมีประมาณ 2,000 ล้านบาท
ม.ร.ว.ทินศักดิ์ ศักดิเดช ภาณุพันธ์ ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท มณียาเรียลตี้ เปิดเผยถึงแผนดำเนินธุรกิจของกลุ่มมณียาว่า ภายหลังจากประสบปัญหาจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 บริษัทประสบกับภาวะขาดทุนจนทำให้มีหนี้สินสูงกว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ทยอยใช้หนี้ไปจนกระทั่งในปัจจุบันมีหนี้ที่มาจากอดีตเหลือประมาณ 200-300 ล้านบาทเท่านั้น ดังนั้นบริษัทจึงมีแผนที่จะดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง
โดยล่าสุดได้ร่วมทุนกับกลุ่มมาลีนนท์เพื่อพัฒนาโครงการ มาลิบู บริเวณเขาเต่า อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ภายใต้บริษัทเอ็มทะเล จำกัด พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 180 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.9-11.4 พร้อมด้วยวิลล่าอีก 4 หลัง ราคา 31-34 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 1,200 ล้าน บาท โดยเปิดตัวเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ที่ผ่านมา มียอดขายแล้ว 20 กว่ายูนิต โดยเฉพาะวิลล่าขายหมดแล้วทั้ง 4 ยูนิต
นอกจากนี้กลุ่มบริษัทมณียายังอยู่ระหว่างพัฒนาโรงแรมหรู 5 ดาว ตั้งอยู่ด้านข้างอาคาร มณียาเซ็นเตอร์ ย่านเพลินจิตโดยรูปแบบจะเป็นโรงแรมหรูภายใต้ชื่อ “เรเนซอง” เชนบริหารของแมริออท จำนวน 400 ห้อง ภายในโครงการดังกล่าวยังแบ่งพื้นที่บางส่วนพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมเพื่อขายสัญญาเช่า 30 ปีจำนวน 60 ยูนิต ภายใต้ชื่อ รอยัลมณียา เอ็กเซ็กครูซีฟ เรสซิเดนท์ ราคาประมาณ 1 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนมูลค่าก่อสร้างประมาณ 2,200 ล้านบาท ส่วนมูลค่าโครงการ 3,000-4,000 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการได้ในช่วงปลายปี 51 หรือต้นปี 52
ส่วนโครงการรอยัลราชดำริ บนถนนราชดำริด้านข้างโรงแรมแกรนดไฮแอท บนเนื้อที่ 6 ไร่ ซึ่งเป็นที่เช่าจากสำนักทรัพย์สินส่วนประมหากษัตริย์ต่อจากสมาคมศิษย์เก่าเทพศิรินทร์ โดยโครงการดังกล่าวได้ชะลอการพัฒนามาตั้งแต่ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 40
ล่าสุดได้เจรจาปรับโครงสร้างหนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้หากลุ่มทุนใหม่เข้ามาร่วมลงทุน โดยก่อตั้งบริษัท ราชเพลิน จำกัดเมื่อปี 2549 เพื่อดำเนินการพัฒนาโครงการดังกล่าวต่อเนื่อง ส่วนผู้ร่วมทุนประกอบด้วย บริษัทซีแลน คอร์ปอเรชั่น เอสดีเอ็น บีเอสดี จำกัด กลุ่มทุนสัญชาติมาเลเซีย, บริษัทสหการ ซีแลน (ประเทศไทยจำกัด), บริษัททีอาร์ซี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มาชน) ทั้งนี้เดิมบริษัทมีแผนจะพัฒนาเป็นโรงแรมหรูและอาคารสำนักงาน แต่ปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนเป็นโครงการสำนักงานเพียงอย่างเดียว แต่จะสร้างเป็น 2 อาคาร ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ เนื้อที่ประมาณ 20,000 ตร.ม. มูลค่าโครงการ 4,000-4,500 ล้านบาท เริ่มดำเนินการก่อสร้างปี 2551 คาดแล้วเสร็จในปี 2553 โครงการดังกล่าวมีระยะเวลา 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2549
ม.ร.ว.ทินศักดิ์ กล่าวว่าตนยังมีที่ดินแลนด์แบงก์อีกหลายแปลงโดยส่วนใหญ่ตังอยู่ในย่านเพลินจิต รวม 13-14 ไร่ นอกจากนี้ยังมีในกรุงเทพฯและต่างจังหวัดอีกจำนวน ส่วนที่ดินบริเวณลานจอดรถและล้านเบอเกอร์คิง บนถนนเพลินจิตนั้น ขณะนี้ยังไม่แผนที่พัฒนาเนื่องจากต้องการรอให้ความชัดเจนด้านการเมืองรวมถึงเศรษฐกิจฟื้นตัว และศักยภาพของที่ดินแปลงนั้นๆ
“ตอนนี้ยังมีแรงอยู่ก็ยากจะดึงที่ดินออกมาพัฒนา ก่อนที่จะหมดแรงหลังจากนี้ก็คงต้องให้ลุกๆมาดูแทน”
ด้านม.ร.ว. ดำรงดิศ ดิศกุล กรรมการ บริษัทฯ กล่าวว่า การลงทุนของกลุ่มมณียาจะเน้นลงทุนที่ละโครงการ เมื่อดำเนินโครงการแรกไปแล้ว 80% ก็จะเริ่มโครงการใหม่ต่อเนื่อง ส่วนรูปแบบการลงทุนจะเป็นทั้งร่วมทุนและลงทุนเองขึ้นอยู่กับศักยภาพของแต่ละโครงการ
แม้ว่ามณียาจะมีหนี้เหลือเพียง 200-300 ล้านบาท แต่จากการลงทุนในหลายโครงการทำให้ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ระดับ 3 : 1 ทั้งนี้ม.ร.ว.ดำรงดิศ กล่าวว่าหากบริษัทขายคอนโดมิเนียมในโครงการรอยัลมณียา เอ็กเซ็กครูซีฟ เรสซิเดนท์ ไปได้และนำเงินมาใช้หนี้จะทำให้บริษัทมีหนี้สินต่อทุนลดลงเกือบ 50% หรือประมาณ 1.5 : 1 ส่วนหนี้ใหม่ที่กู้มาลงทุนเพิ่มปัจจุบันมีประมาณ 2,000 ล้านบาท